วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 27, 2550

การเมืองภาคประชาชน ต้องเข้มแข็ง


การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม มี่ผ่านมา เราคงจะได้เริ่มเห็นปรากฏการณ์บางสิ่งบางอย่างกันบ้างแล้ว ละครฉากต่อไปก็คงเป็นบทบาทของ ตัวละครแต่ละตัวที่ ประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งต่างๆที่จะเป็นไปล้วนเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพรรคล้วนๆ แม้ว่า ประชาชนจะเป็นผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และไปทำหน้าที่บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามวาระในรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ตามประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครองที่ผ่านมา ประชาชนไม่สามารถ เข้าไปควบคุม หรือ กำหนดทิศทางของนัการเมือง พรรคการเมือง ให้ดำเนินการทางการเมืองการปกครอง ให้เป็นไปตามนโยบาย และสิ่งที่ได้เคยประกาศ โฆษณากับประชาชนในตอนที่กำลังหาเสียงได้เลยสักอย่าง
ล้วนสามารถแปรเปลี่ยน เพื่อเข้ารวมขั้ว รวมพรรค เพื่อให้ได้เข้าร่วมตั้งรัฐบาลได้ทั้งสิ้น ส่วนเหตุผลนั้นเล่นไม่ยาก สูตรสำเร็จรูปของตาย ที่ใช้ได้ผลทุกยุคทุกสมัย ก็คือ “เพื่อชาติ บ้านเมือง เพื่อความสงบเรียบร้อย เพื่อประชาชน” โดยเรื่อง นโยบาย หรือจุดยืน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึง
แบบนี้ นโยบาย หรือจุดยืนที่ประกาศต่อประชาชนตอนหาเสียง ไม่มีความหมาย อะไรเลยหรือ?
ถามว่า นักการเมือง พรรคการเมือง มีอะไรเป็นหลักประกันในเรื่อง จุดยืน อุดมการณ์ ในตอนหาเสียง ต่อประชาชนให้เชื่อถือได้อย่างนี้ เท่ากับเป็นการ หลอกลวงประชาชน หรือไม่? ขอให้เฝ้าติดตามดูกันต่อไป

โดยประวัติศาสตร์การเมือง การปกครอง ของเรามักเป็นอย่างนี้มาตลอด ถามว่าแล้วประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่หละไปอยู่ที่ไหน? ใครจะเป็นผู้ ควบคุม ดูแล แสดงว่าอำนาจที่กล่าวในรัฐธรรมนูญ เป็นเพียง ตัวหนังสือเท่านั้นเองหรือ อำนาจที่แท้จริงของประชาชน อยู่ที่ไหน ?

ดังนั้น ทำอย่างไร เราถึง จะทำให้ ประชาชน มีอำนาจ ที่แท้จริง ที่จะควบคุมตรวจสอบนักการเมือง เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนอุดมการณ์ จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นสูตรสำเร็จรูป ว่าทำ เพื่อเห็นแก่ ชาติบ้านเมือง เพื่อเห็นแก่ประชาชน

ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป การเมืองไทย นักการเมืองไทย บ้านเมืองไทย ควรจะ อยู่ในร่องในรอย พ้นจากวังวนของน้ำเน่า ไม่วุ่นวาย อย่างที่ผ่านมา ทั้งนี้ และทั้งนั้น ก็ต้องมาจาก การเมืองภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง.

วันจันทร์, ธันวาคม 24, 2550

การเลือกตั้ง หลังความวุ่นวาย การเมืองภาคประชาชน ต้องเข้มแข็ง


การเลือกตั้ง หลังความวุ่นวาย
การเมืองภาคประชาชน ต้องเข้มแข็ง



     ณ ขณะนี้ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังการเลือกตั้งเสร็จ เราลองมาดูผลการเลือกตั้งงวดนี้ดูว่า ใครได้ ใครไม่ได้ เพราะอะไร ใครได้แล้วจะทำหน้าที่อย่างไร จะทำให้การเมือง เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย เข้าสู่ระบอบการเมืองที่ควรจะเป็น หรือจะสามารถชี้ชะตานักการเมืองที่มีอุดมการณ์ หรือนักการเมืองน้ำเน่าที่จะทำให้การเมืองของไทยวุ่นวายอย่างที่เคยเป็น อยากให้เฝ้าจับตาดู แล้วช่วยกันทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจของการเมืองอย่างแท้จริง การเมืองเมืองไทยจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ใครที่ทำหน้าที่ทางการเมืองได้ดี ใครทำหน้าที่ทางการเมืองไม่ดี ขอให้เฝ้าจับตาดูผลกระทบที่เคยเกิดขึ้น และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น

*
     เราควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมืองภาคประชาชน ให้มีความเข้มแข็ง เราต้องติดตามบทบาทของนักการเมือง และจับตาการทำหน้าที่ทางการเมืองในสภาต่อไป ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนเป็นผู้กำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ และเป็นผู้พิจารณาว่าจะเลือกใครหรือไม่เลือกใคร เพื่อทำหน้าที่แทนในสภาและทำหน้าที่บริหารชาติบ้านเมืองแทนประชาชน
     ไม่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมหรือไม่อย่างไร พรรคไหนจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ขอให้เปิดโอกาสให้รัฐบาลบริหารชาติบ้านเมือง ให้สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่ ดูจนครบวาระไม่ใช่อย่างที่ผ่านมา พอรัฐบาลจะกระดิกตัวหน่อย ก็ตีรวนกันในสภา ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรหน่อย ก็เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบนี้ จะให้ฝ่ายที่เป็นรัฐบาลทำงานได้อย่างไร รัฐบาลจะต้องเป็นพรรคของตัวเองเท่านั้นหรือ?
     ขอให้เราเฝ้าดูจุดยืนทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ดูที่การกระทำของนักการเมือง อย่าฟังแต่ที่คำพูด สำนวนโวหารเพียงอย่างเดียว เพี่อว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป เราจักควรเลือกให้เขาเหล่านั้น อยู่ทำหน้าที่แทนประชาชนในสภาต่อไป? หรือไม่ควรเลือกเป็นตัวแทนต่อชาติบ้านเมือง? จะได้ไม่สับสน ไม่วุ่นวาย รัฐบาลจะได้มีโอกาสบริหาร ได้พัฒนา ชาติบ้านเมืองไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ไม่ต้องอยู่ในวังวน อยู่ในวงจรอุบาทว์ อย่างที่เคยเป็นมาแล้วในอดีตอีกต่อไป ประชาชนอย่าได้เห็นแก่พรรคพวกตัวเอง อย่าได้เห็นแก่ญาติโยมตนเอง อย่าได้เห็นแก่อามิส สินจ้างที่ได้รับ
     หรือหากใครอยากได้เป็นรัฐบาล เพื่อจะได้บริหารชาติบ้านเมืองได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ต้องกังวล กลัวปากฝ่ายค้าน ไม่ตองกังวลต่อการเปิดอภิปราย อย่างพร่ำเพรื่อ ก็เลยต้อง ใช้วิธีการซื้อตัวนักการเมืองเข้ามาสังกัด ในพรรคตนให้มากเข้าไว้ เพื่อที่จะสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างเข้มแข็งกระนั้นหรือ?
     หากการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นอยู่อย่างนี้ บ้านเมืองเราวุ่นวาย เราจะโทษใคร เราต้องโทษการเมืองภาคประชาชนที่ไม่เข้มแข็ง ขอฝากเป็นข้อคิดว่า
     - ให้จับตาดูว่าผู้แทนคนไหน ชอบตีฝีปาก ตีรวน ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไร ยังไม่ทันไร ก็โจมตี จนรัฐบาลไม่สามารถ บริหารงานได้ หรือเอาแต่เรื่องส่วนตัวมาโจมตีกันในสภา มากกว่าพูดเรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องของ ประชาชน เราควรที่จะต้องปล่อยให้รัฐบาลเขาได้มีโอกาสบริหารชาติ บ้านเมืองอย่างเต็มที่ และเฝ้าจับตาดูที่ผลงาน และนั่นแหละ เราถึงจะมาตัดสิน ชี้วัดฝีมือกันว่า รัฐบาลทำงานสำเร็จหรือไม่เพียงใด และนั่นแหละในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเราจึงจะตัดสินใจว่า เราควรให้พรรคไหน เป็นรัฐบาล เราไม่ควรที่จะเลือกนักการเมืองคนใดเข้ามาเป็นตัวแทนแทนเราให้รกสภา
      - ทำอย่างไรที่จะสร้างการเมืองภาคประชาชน ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศชาติบ้านเมืองตัวจริง มีความเข้มแข็ง มีพลัง อำนาจ ในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองเราอย่างที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง
     แต่ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนการเมืองงวดนี้ นักการเมืองแต่ละท่าน ดูจะเรียบร้อย สงวนเนื้อสงวนตัว สงวนปากสงวนคำขึ้นเยอะ ดูจะเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับการเมืองไทย ขอภาวนาให้ นักการเมืองของไทยเป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิด โดยที่ประชาชนควรจะเฝ้าจับตาดูนักการเมืองที่ชอบตีฝีปาก พ่นน้ำลาย แบบน้ำไหลไฟดับ ขุดคุ้ยเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาโจมตีฝ่ายตรงข้ามกันในสภามากกว่าการพูดในเรื่องบ้านเมือง เรื่องปากท้องของประชาชน ขอให้เฝ้าจับตาดู !

วันพุธ, ธันวาคม 19, 2550

สื่อมวลชนบันเทิง กับ ความรับผิดชอบสังคม


สื่อมวลชนบันเทิง กับ ความรับผิดชอบสังคม


     มักได้ยินข่าวอยู่เสมอว่า ดารา หรือผู้คนบางคน ต้องเสียหาย จาก การตกเป็นข่าว ซุบซิบในวงการบันเทิง เช่น ตกเป็นข่าวเรื่องเตียงหัก มือที่สาม ค้ายา หรือ กุ๊กกิ๊ก หรือกรณี เบิร์ด ธงชัยฯ เป็น ตุ๊ด ดาราหญิงคนนี้ เป็น เลสเบียนบ้างหละ อะไรต่อมิอะไรที่ไม่เป็นความจริง กว่าที่เจ้าตัวจะแก้ข่าว สร้างความจริงให้ปรากฏ ก็อ่วมอรทัยไปแล้ว

     เหล่านี้ ได้สร้างความเดือดร้อน แก่ผู้ที่ตกเป็นข่าวขนาดไหน บางรายอาจต้องเลิกร้างกันไป บางรายเสียผู้เสียคนไปก็มีหลายราย
     เหตุผลของเหล่ากระจอกข่าวพวกนี้อาจจะบอกว่าก็เป็นอาชีพบ้างหละ มันเป็นหน้าที่บ้างหละ ส่วนพวกดารา พวกนักร้องนักแสดง ใครต่อใคร ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ จะต้องยอมให้สื่อสอดรู้สอดเห็น ขุดคุ้ย ซอกแซก พูดเสียดสี ถากถาง นินทากาเล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ

ข่าวเหล่านี้ สังคมได้อะไร?
ใครได้ ใครเสีย?


แต่ทีแน่ๆ เจ้าตัว ญาติโยม เสียหายป่นปี้ ไปแล้ว
สำหรับคนที่ได้ แน่นอน คือ คนเขียน และ หนังสือพิมพ์ ขายดี
แล้ว ใคร? สถาบันไหน? ที่เป็นผู้บอก ว่าหากเป็นนักข่าว สื่อบันเทิงสามารถที่จะกระทำแบบนี้ได้
ถามว่า แล้ว จรรยาบรรณของนักข่าว ของสื่อ อยู่ที่ไหน?

อย่าสักแต่ว่า มีปากกา มีสื่อ อยากเขียนอะไรก็เขียน ไม่ต้องรับผิดชอบ อย่างนั้น หรือ ลองย้อนถามตัวเองบ้างว่า หาก เป็น คนเขียนเอง ใครอยากจะ โพนทะนา ว่า ค้ายา เป็นชู้กับ ใครต่อใคร ไป ทำเลวระยำ บ้าบอ อย่างนั้นอย่างนี้ โดย ไม่เป็นอย่างนั้นจริง บ้าง จะว่า อย่าง ไร คง นั่ง หัว ร่อ ชอบใจ อยากให้ ใครต่อใคร เอาเรื่อง ที่เสื่อมเสียส่วนตัวของตน ไป เขียน ให้มันๆสนุก ปาก ทั่วบ้านทั่วเมือง ละซี มีไหม กรองข่าว ตรวจสอบข่าวก่อน ลง น๊ะ

หากจะบอกว่าสื่อมวลชนยังมีอภิสิทธิ์ ในการใช้สิทธิเสรีภาพ ใช้ความเป็นฐานันดรสี ๔ ทำแบบนี้ได้ผมว่าถ้าแบบนี้ ปิดกั้นเสรีภาพสื่อจะดีไหม? ใครก็ได้ ช่วยตอบแทนที อย่าบอกว่า ขอโทษ ตน เข้าใจผิด ง่ายๆ พล่อยๆ สื่อที่มีจรรยาบรรณ สื่อที่ดีดี อย่า เข้าข้างพฤติกรรมเลวๆ แบบนี้ แล้วกัน.


*

นี่ ก็มาอีก ข่าว

"ไก่ วรายุฑ" บุกนิตยสารมายาแชนแนล หลังถูกเขียนพาดพิง "นก ฉัตรชัย" ขนย้ายข้าวของมาอยู่ที่บ้านตนเอง เจ้าตัวสุดยัวะบอกรับไม่ได้ ออกอาการปรี๊ดแตกบอกอยากจะฉี่รดหนังสือพิมพ์ทีเดียว"

เป็นอย่างนี้ เสมอ แต่ สื่อก็มักอ้างว่า เป็นหน้าที่และเป็นอภิสิทธิ์ของสื่อ
ผมถามจริงๆ เหอะ ว่ามีกฏหมายประเทศไหนในโลกบ้าง ที่อนุญาต ให้สื่อฯ สามารถ ใช้ เครื่องมือที่สังคมมอบให้ สร้างความระยำ ด้วยการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จาบจ้วงล่วงเกิน พูดเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงต่อใครๆอย่างเสรีได้
หรือในวงการจะมีเหตุผล แห่งการกระทำ ว่า มันเป็นวิถีเพื่อความอยู่รอดของนักข่าว ใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าแบบนี้ ที่โจรมันปล้น ข้าราชการ นักการเมืองก็จะบอกว่า ขอใช้อภิสิทธิ์ในการโกงกิน ปาหินใส่รถใครต่อใคร ค้ายา ปล้นทรัพย์ ฆ่า ข่มขืน และอะไรต่อมิอะไร โดยบอกว่า ตนมีสิทธิ เสรีภายแบบสื่อ เพื่อความอยู่รอดของตนบ้าง สื่อจะว่าอย่างไร?
ใครเรียน สื่อสารมวลชนช่วยตอบที อาจารย์ และตำรา เขาสอนให้ หนังสือพิมพ์ทำอย่างนี้ได้หรือ? ถ้าสอนแบบนี้ ผมว่าเลิกสอน เลิกเรียนกันเหอะ ผมขอร้อง.