วันอังคาร, กรกฎาคม 08, 2551

บ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ

*แม้ว่าสภาวะโลกร้อนจะเป็นวิกฤตการณ์ที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทุกวัน แต่เราทุกคนสามารถช่วยเหลือโลก เพื่อประหยัดพลังงานได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิถีการใช้ชีวิตประจำวัน วันนี้คู่บ้านมีไอเดียดี ๆ เกี่ยวกับการแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติมาฝากค่ะ

การแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาสภาวะโลกร้อนได้ สิ่งสำคัญควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในวิถีประจำวันที่ไม่ยากจนเกินไป แต่ก่อให้เกิดผลดีต่อโลกได้มากกว่าที่เราคาดคิด

ข้อแนะนำดี ๆ สำหรับบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนของห้องนอน เป็นห้องที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลามากที่สุดในแต่ละวัน จึงเป็นห้องที่มีปริมาณการใช้พลังงานสูงสุดภายในบ้าน วิธีง่าย ๆ ในการประหยัดพลังงาน ต้องเปิดและเครื่องปรับอากาศเท่าที่จำเป็น แนะนำให้ติดตั้งพัดลมติดเพดาน ซึ่งใช้ไฟน้อยกว่า เครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ ควรเปิดหน้าต่างทุกวัน เพื่อให้อากาศถ่ายเท กำจัดกลิ่นและมลพิษต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ภายในห้องได้

ห้องนอนที่ดี ควรตกแต่งให้มีบรรยากาศสบาย และผ่อนคลาย การเลือกใช้สีขาวทาผนัง ช่วยให้พื้นที่สว่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในห้อง

สำหรับห้องน้ำ ควรลดปริมาณการใช้น้ำ และเลือกใช้สุขภัณฑ์ที่มีระบบประหยัดน้ำ นอกจากนี้ การอาบน้ำโดยฝักบัวแทนการอาบในอ่างอาบน้ำ ก็ยังช่วยประหยัดน้ำได้เกือบถึง 10 เท่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาบ และไม่ควรลืมติดตั้งเครื่องเติมอากาศที่หัวฉีดฝักบัว เพราะจะยิ่งช่วยให้ประหยัดน้ำมากยิ่งขึ้น

เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ และไม่ควรลืมการนำน้ำจากการอาบไปใช้รดน้ำต้นไม้ในสวน เป็นการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

เราทุกคนควรหันมาใส่ใจกับ วิกฤตการณ์โลกร้อนกันอย่างจริงจังมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสะสมต่อเนื่อง มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม ช่วยกันประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อโลกของเรานะค่ะ

พบกับสาระดีๆ เกี่ยวกับบ้าน และการตกแต่งได้ดั่งใจในรายการคู่บ้าน ได้ในครั้งต่อไป สวัสดีค่ะ

บ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ 2

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา รายการคู่บ้านได้นำเสนอการแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ในสภาวะโลกร้อน ให้ได้ชมกันไปแล้ว หวังว่าคงเป็นที่ถูกใจไม่มากก็น้อย และในครั้งนี้คู่บ้านมีไอเดียเพิ่มเติมมาช่วยในการตกแต่งบ้านสไตล์อนุรักษ์ธรรมชาติมาฝากค่ะ

แม้ว่าสภาวะโลกร้อนจะเป็นวิกฤตการณ์ที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทุกวัน ปัจจุบันทุกคน ได้หันมาใส่ใจกับวิกฤตการณ์โลกร้อนกันอย่างจริงจังมากขึ้น การแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วยตัวคุณโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน

ข้อแนะนำดี ๆ สำหรับบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนของห้องนั่งเล่น หลักสำคัญของห้องนั่งเล่น คือ ต้องเป็นห้องที่ดูแลรักษาง่ายไม่มีสิ่งของเกะกะรุงรัง ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านซึ่งผลิตมาจากผ้าฝ้ายปลอดสารเคมี และสามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย

การเลือกพรมปูพื้น ควรใช้พรมผืนขนาดเล็ก ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้ง่าย สิ่งสำคัญควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้อยู่เสมอ

สำหรับห้องครัว วิธีที่ง่ายที่สุดในการช่วยลดปริมาณขยะ ลดการใช้พลังงานและปริมาณน้ำในห้องครัว คือการดูแลรักษาความสะอาดภายในครัวอย่างสม่ำเสมอ การหมั่นนำขยะสดออกไปทิ้งข้างนอกอยู่เป็นประจำ ช่วยทำให้ถังขยะแห้ง จึงไม่จำเป็นต้องซ้อนถุงขยะพลาสติกสีดำอีกใบ

การเลือกใช้เครื่องล้างจาน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานกว่าการล้างด้วยมือ แต่มีข้อแม้ว่าจะใช้ก็ต่อเมื่อมีจานที่ต้องการล้างวางไว้เต็มความจุของเครื่อง รวมทั้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างจานที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ

การเลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ทำควรประเภทอื่น ๆ ควรเลือกชนิดที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ การเลือกวิธีการปรุงและอุ่นอาหารโดยใช้เตาไมโครเวฟ เพราะเตาไมโครเวฟ ช่วยประหยัดไฟฟ้าและพลังงานมากกว่าเครื่องใช้ในการปรุงอาหารประเภทอื่น ๆ

การเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน การตากผ้าให้แห้งตามธรรมชาติแทนการใช้เครื่องอบ หรือการนำสิ่งเหลือใช้กลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ และการปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น เพียงวิธีง่าย ๆ เหล่านี้จะช่วยบรรเทาสภาวะโลกร้อนได้ค่ะ พบกับสาระดีๆ เกี่ยวกับบ้าน และการตกแต่งได้ดั่งใจในรายการคู่บ้าน ได้ในครั้งต่อไป สวัสดีค่ะ

Credit : คู่บ้าน ประจำวันที่ 22 กันยายน 2550

อวัยวะชิ้นที่ 33 ?

jenifaae



*ไม่ว่าจะในยุคมนุษย์ถ้ำ จนถึง ยุคโลกาภิวัฒน์ “การสื่อสาร” (Communication) เป็นสิ่งหนึ่งทีมีความสำคัญในชีวิตประจำวันมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่การใช้สัญญาณควันในการส่งข่าวสาร การเขียนข้อความใส่ขวดลอยตามน้ำเมื่อเรือแตกติดอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทร หรือการใช้นกพิราบช่วยการสื่อสารระหว่างกัน จนถึง ณ ขณะนี้ เราได้มีการสื่อสารผ่านดาวเทียมได้ไกลแสนไกล ทุกที่ ทุกเวลา ทั่วทุกมุมในโลกใบนี้ ที่สุดแสนไฮเทคในยุคนี้ ล้วนแล้วเป็น “การสื่อสาร” โดยทั้งสิ้น

ซึ่งเดี๋ยวนี้ การติดต่อสื่อสารระหว่างกัน กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว สำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบันของเรา ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนๆ หรือหันไปทางไหน เราจะเห็นคนกำลังคุยกันทางโทรศัพท์ ทั่วทุกหัวระแหง ทุกผู้ ทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเวลา ก็ว่าได้

และเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่โลกเราได้มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน จะว่าไปทำให้การติดต่อสื่อสารก็กลายเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายและรวดเร็ว และที่สำคัญ ราคาเครื่องถูกลงอย่างมาก หรือถ้าจะให้ถูกกว่านี้ ก็สามารถซื้อเครื่องมือสอง มือสาม หรือมือสี่ ก็ยังได้ เรื่องราคาเครื่องจึงไม่ใช่ข้อจำกัดการมีโทรศัพท์เสียแล้ว และที่สำคัญมากกว่าไปกว่านั้น อัตราค่าโทร.ก็ถูกลง แถม มี Promotion ลดแหลก แจก แถม อย่างถล่มทลายกันหลายเจ้า ต่างจากสมัยก่อน ที่รัฐบาลยังบริหารกิจการโทรศัพท์อย่างลิบลับ จะขอสายโทรศัพท์เข้าบ้านซักเบอร์หนึ่ง ขอกันสาม ปี สีปี หากอยากได้มากเข้า ก็ต้องลงทุน ซื้อเบอร์จาก คนอื่น ต้องจ่ายเงิน ประมาณ สาม หรือสี่หมื่นบาท บางบ้านขอไป ก็ไม่ได้ก็มี ต้องไปยืนหยอดตู้ ต่อคิวกันให้ยุงกัด

*ซึ่งก่อนที่จะถึงยุคโทรศัพท์ ก่อนหน้านี้ “เพจเจอร์” หรือ วิทยุติดตามตัว ได้เข้ามาทำให้พวกเราได้ฮือฮากันครั้งกระโน้น ด้วยการส่งข้อความหากันดัง “ปิ๊บ ปิ๊บ ปี๊ป” กันทั้งเมือง ไปทางไหน ก็ จะเห็น เพจเจอร์เหน็บเอวกันเป็นแถว แต่พอมาถึงยุคนี้ สมัยนี้ก็ต้อง เป็นโทรศัพท์มือถือนี่แหละ มาแรงแซงทางโค้ง ไม่ว่าจะอาชีพใด อายุใด เป็นต้องมีถือติดตัวให้โก้กันไปหมด ตั้งแต่ราคาแพงหูฉี่ จนมาถึงราคาไม่ถึงพัน ก็พอใช้ได้ ส่วนค่าบริการก็ยังมีให้เลือกหลายโปรโมชั่น ให้เหมาะกับนิสัยการใช้งาน ในบ้านเราก็มีแก่งแย่งแข่งขันกันอยู่ 3-4 ระบบ


เด็กตัวเล็กตัวน้อย พ่อแม่ยังต้องหาโทรศัพท์มือถือให้ติดตัวกัน อ้างว่า “ติดตัวไว้ใช้ อุ่นใจค่ะ” กันทั้งสิ้น ลูกเด็กเล็กแดงเกิดมา ก็ “ฮัลโหล” กันเป็นแล้ว กดเบอร์เองได้อีกด้วย

นึกถึงครั้งใดที่ลืมโทรศัพท์มือถือ แทบอยากจะตีรถกลับไปเอาซะจริงๆ ก็มันอึดอัดนะ เพื่อนฝูง การงานติดต่อเราไม่ได้ ไอ้ครั้นจะโทรไปหาเอง ก็จำเบอร์ไม่ได้แล้ว ก็จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเดี๋ยวนี้ เราฝากชีวิตความทรงจำไว้กับเจ้าโทรศัพท์ไปแล้ว เลยทำให้ต่อมความจำ การรับรู้ของเรา มันหดหายไปหมดสิ้น แม้กระทั่งวันเกิดเพื่อนสนิท ที่สมัยอดีต ไม่ต้องมีเสียงเตือน ก็จำได้ไม่มีลืม แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ใส่ความจำส่วนนี้ไว้ในโทรศัพท์ พร้อมทั้งให้เตือนในวันที่สำคัญ เราก็ลืมมันไปสนิท เอาเป็นว่า ถ้าโทรศัพท์หาย ขอซิมใหม่ เบอร์เดิม ยังแทบจะไร้ค่าเลย

ดังนั้น ณ บัดเดี๋ยวนี้ โทรศัพท์มือถือ ได้กลายมาเป้นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง ซะแล้ว หรือ ใคร ว่าไม่จริง...??

ส้วมทองคำ

*ฮ่องกงมีการสร้างส้วมทองคำ โดยส้วมนี้ ทำด้วยทองคำแท้ 24 กะรัต สุกอร่ามไปทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถส้วม อ่างล้างมือ แปรงขัดส้วม ที่แขวนกระดาษทิชชู กรอบกระจก โคมไฟแชนเดอเลีย ฯลฯ


ห้องสุขาทองคำที่ว่านี้ เปิดให้ชมมาตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.2001 โน่น ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังอยู่ดีหรือเปล่าเป็นห้องส้วมที่จัดสร้างขึ้นในร้านจิวเวลรี่ชื่อ 3D-Gold ในฮ่องกง ของนายลัม ไซ-วิง หนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่วัย 45ปี ที่อพยพเข้าไปอยู่ในฮ่องกงตั้งแต่อายุ 22 และทำมาค้าขายเกี่ยวเรื่องเพชรๆ พลอยๆ ของสวยงามจนกระทั่งตั้งร้านจิวเวลรี่ของตัวเองได้สำเร็จร่ำรวยสมปรารถนา


ส้วมทองคำแห่งนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างอื้ออึง เพราะทำด้วยทองคำแท้ 24 กะรัต สุกอร่ามไปทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถส้วม อ่างล้างมือ แปรงขัดส้วม ที่แขวนกระดาษทิชชู กรอบกระจก โคมไฟแชนเดอเลีย แม้กระทั่งเพดาน ผนังห้อง พื้นกระเบื้อง และบานประตูก็ปูและกรุด้วยทองคำแท้ๆ เฉพาะเพดานส้วมนั้นยังฝังเพชรพลอยจำพวก ทับทิบ ไพลิน มรกต และอำพัน ส่องประกายมลังเมลือง จำนวนถึง 6,200 เม็ด

ที่มา :www.sheza.com

แมวมีปีกเหมือนนก

*หญิงชราชาวจีนอ้างว่า แมวเหมียวที่แกเลี้ยงไว้ เกิดปรากฏการณ์ผิดปกติเหลือเชื่อเหนือธรรมชาติ...จู่ๆก็มี “ปีก” สองอันงอกออกมายาวเฟื้อย!?


สำนักข่าวฮั้วซ่างนิวส์รายงานว่า แมวเพศผู้ สัตว์เลี้ยงแสนรักสุดเลิฟของ นางเฟิง ราษฎรเมืองเสี้ยนหยาง มณฑลส้านสี สาธารณรัฐประชาชนจีน เติบโตตามลำดับเหมือนวิฬาร์ทั้งหลาย กระทั่งย่างสู่ วัยหนุ่มฉกรรจ์หน้าตาหล่อเหลาบ้องแบ๊ว



จึงมีบรรดาแมวสาวส่งสายตาปิ๊งๆ ทอดสะพาน คอนกรีตเสริมเหล็ก เชิญชวนยวนยั่วขอร่วมเสพสมเพิ่มผลิตผลประชาชนแมว จรรโลงสัตว์โลกสายพันธุ์ วิฬาร์ให้คงอยู่คู่โลกา

แต่แปลกประหลาดแฮะ ไอ้เหมียวไม่ยักสนใจแมวสาวๆ แถมสำแดงอาการโกรธเกรี้ยวขนลุกชูชัน ส่งเสียงเมี้ยวม้าวลั่น ขับไล่แมวตัวเมียกระเจิง ครั้นโดนตามตื๊อหนักเข้า...ก็ปรากฏปุ่มตะโหงกสองก้อน งอกขึ้นมาบริเวณหัวไหล่ ปุ่มดังกล่าวเจริญเติบโตยาวเฟื้อยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขนยาวสี่นิ้วปกคลุม เวลาผ่านพ้นเดือนเดียวก็แน่ชัดนั่นคือ ปีก ภายในมีกระดูกรองรับ เพียงแต่ไม่อาจบินได้เท่านั้นเอง... มันเหมือนเทพบุตรวิฬาร์เชียวหละ” อาม่าเฟิงจินตนาการ


ด้านสัตวแพทย์บอกมิมีอะไรบนกอไผ่ นอกจากหน่วยพันธุกรรมในโครโมโซมหรือยีน (gene) ผิดปกติ แต่ไม่ส่งผลร้ายใดๆต่อการดำรงชีวิตเจ้าเหมียว


ที่มา : http://www.sheza.com

ขั้นตอนการสร้างบ้านดิน



ขั้นตอนในการก่อสร้างบ้านดิน อาจจะแตกต่างจากการก่อสร้างบ้านทั่วไป เนื่องจากบ้านดินไม่มีระบบโครงสร้าง บ้านดินใช้กำแพงรับน้ำหนัก เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างกระชับ ทำได้รวดเร็ว การดำเนินการก่อสร้างบ้านดินมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน
พื้นที่สำหรับทำบ้านดิน ควรเป็นพื้นที่ ที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่ใช่ทางน้ำไหลบ่า หากเป็นพื้นที่ถมดินใหม่ควรถมทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี หรือผ่านช่วงฤดูฝนสัก 1 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 2 การทำอิฐดิน
การทำอิฐดินสำหรับผู้ที่ออกแรงเป็นประจำจะทำอิฐดินได้วันละ 70 - 100 ก้อน
การตากอิฐดินใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน เมื่อตากอิฐได้ประมาณ 2-3 วันให้พลิกอิฐขึ้นตั้งทางด้านแนวนอน และทำการแต่งก้อนอิฐในช่วงเวลานี้ จะมีฝุ่นกระจายออกมาน้อย เมื่ออิฐแห้งสนิทดีแล้วควรนำอิฐมากองรวมกันไว้กลางบ้าน เพื่อสะดวกและก่อกำแพงได้รวดเร็ว การขนย้ายควรทำเพียงครั้งเดียว จากบริเวณตากอิฐมาที่กลางบ้าน

ขั้นตอนที่ 3 การทำรากฐานบ้าน
การทำรากฐานบ้านดิน ควรทำรากฐานให้เสร็จและถมดินให้เรียบร้อยก่อนขนย้ายอิฐดินขึ้นมากองไว้กลางบ้าน

ขั้นตอนที่ 4 การก่อกำแพงบ้าน
หลังจากที่นำอิฐดินมากองไว้กลางบ้านเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกของการก่อกำแพงบ้านจะเร็ว หากก่อขึ้นสูง การทำงานอาจจะช้าลงเพราะต้องส่งอิฐดินขึ้นสูง ช่วงนี้อาจติดตั้งวงกบประตูหน้าต่างได้ หรืออาจจะเว้นช่องเอาไว้ติดตั้งในช่วงฉาบ แรงงาน 3 คนสามารถก่ออิฐดินได้วันละ 300 - 500 ก้อน

ขั้นตอนที่ 5 การขุดบ่อส้วม
ในระหว่างที่ดำเนินการก่อกำแพงบ้าน หากช่วงเย็น วัสดุที่เตรียมไว้สำหรับก่อหมดอาจใช้ช่วงเวลานั้นขุดบ่อส้วมได้ หรืออาจจะขุดหลังจากที่ก่อกำแพงเสร็จ

ขั้นตอนที่ 6 การเดินระบบไฟฟ้า ท่อน้ำดี ท่อน้ำเสีย
ก่อนฉาบบ้าน ควรดินท่อน้ำดี น้ำเสีย ท่อส้วมให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลา เจาะกำแพงหลังจากที่ฉาบเสร็จ

ขั้นตอนที่ 7 ฉาบกำแพงบ้าน
การฉาบกำแพงบ้าน ควรฉาบก่อนที่จะขึ้นโครงสร้างหลังคา เพราะหลังจากที่ฉาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้กำแพงบ้านมีความแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยให้แดดส่องกำแพงบ้านได้เต็มที่ ช่วยให้ดินที่ฉาบแห้งเร็ว

ขั้นตอนที่ 8 ทำโครงสร้างหลังคา
โครงสร้างหลังคา จะมีส่วนที่เชื่อมโยงกับกำแพงบ้าน อาจจะทำโครงสร้างหลังคาไปพร้อมกับงานฉาบได้ หลังจากที่วางอะเส ของโครงสร้างหลังคาเสร็จแล้ว อาจใช้ดินผสมฟางฉาบปิดอะเส เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

ขั้นตอนที่ 9 มุงหลังคา
การมุงหลังคาบ้าน ควรมุงหลังจากกำแพงบ้านแห้งสนิทดีแล้ว จะช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น

ขั้นตอนที่ 10 ทำเพดานบ้าน
หลังจากมุงหลังคาบ้านเสร็จสิ้น ดำเนินการทำโครงสร้างเพดานและติดตั้งเพดานให้เสร็จสิ้น รวมทั้งทาสีเรียบให้เรียบร้อย จะช่วยให้ไม่ต้องย้ายนั่งร้านหลายครั้ง

ขั้นตอนที่ 11 ฉาบสี
หลังจากทำเพดานบ้านเสร็จสิ้น เริ่มต้นทาสีกำแพงบ้าน ควรเริ่มด้านในบ้านก่อน เพราะภายในบ้าน จะได้รับแสงแดดน้อย และอากาศทายเทได้ไม่ดีเท่าบริเวณนอกบ้าน จะทำให้สีแห้งช้า เมื่อฉาบสีด้านในบ้านเสร็จเรียบร้อย อาจจะเก็บรายละเอียดบริเวณขอบประตูหน้าต่างอีกครั้งแล้วทำการฉาบสีพื้นบ้านหรือปูกระเบื้องหากต้องการ

ขั้นตอนที่ 12 เทพื้น
การเทพื้น หากเป็นพื้นดิน อาจจะเทพื้นทิ้งไว้หลังจากฉาบกำแพงบ้านเรียบร้อยแล้ว เพราะพื้นดินจะใช้เวลานานกว่าที่จะแห้งสนิท อาจใช้เวลาอย่างน้อย 1 อาทิตย์ หากยังไม่ได้มุงหลังคาจะช่วยให้พื้นแห้งไวขึ้น หากเป็นพื้นปูนสามารถเทหลังจากที่ทาสีบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้ไม่ต้องจัดการกับสีที่ฉาบและร่วงลงมามากนัก

ขั้นตอนที่ 13 ติดตั้งบานประตู หน้าต่าง
หลังจากฉาบสีและเทพื้น เสร็จสิ้นแล้ว ทำการติดประตูหน้าต่างและทาสี ควรหากระดาษหรือผ้ายางรองพื้นกันสีตกลงพื้น

ขั้นตอนที่ 14 ติดตั้งหลอดไฟ ติดตั้งสุขภัณฑ์
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการ ติดตั้งระบบไฟฟ้า ก๊อกน้ำ ชักโครก


เอก สล่าเอื้องจัน
20 มกราคม 2550



ขอขอบคุณ
ที่มา : บ้านดิน.คอม
รูป : บ้านดิน.org

การศึกษาคือปัญหาของสังคม

มติชนออนไลน์ - วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11012

โดย บุณย์เสนอ ตรีวิเศรษฐ์ bunsanoe-@hotmail.com มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

*มีการนิยามความหมายของการศึกษาไว้มากมาย เช่น การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม คือกระบวนการกำจัดอวิชาสำหรับมนุษย์ การนำความกระจ่างสู่จิตและทำให้เกิดปัญญาคือการสร้างสมและถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ของมนุษย์เพื่อการแก้ปัญหาและยังให้เกิดความเจริญ เป็นกระบวนการพัฒนาบุคคลทั้งในด้านจิตใจ นิสัย และคุณสมบัติอย่างอื่นๆ เป็นเครื่องมือสำคัญของรับในการสร้างความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพลเมือง

และนิยามสำคัญที่กล่าวว่า การศึกษา คือรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม

จากการเฝ้าสังเกต ความเป็นไปของการศึกษาไทยมากว่าทศวรรษ อาจกล่าวได้ว่าภาพที่เป็นจริงกับนิยามของการศึกษา มักเดินสวนทางกันตลอดมา ราวกับว่าการให้นิยามเป็นเพียงความนึกฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง

ภาพสะท้อนของการศึกษาไทยในปัจจุบัน ยิ่งทำให้เห็นว่าการศึกษาไม่อาจเป็นกระบวนการพัฒนามนุษย์สู่ความเจริญงอกงามและสมดุลได้จริง ทั้งนี้ เพราะเนื้อตัวของการศึกษาเองก็มีปัญหาค่อนข้างมาก

การที่กล่าวว่า การศึกษาเป็นรากฐานในการสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม จึงเป็นเพียงหลักการ แต่ไม่อาจนำมาใช้แก้ไขปัญหาสังคมได้จริง

กล่าวอีกที การศึกษานั่นเองที่เป็นตัวบ่มเพาะปัญหาให้แก่สังคมมากขึ้นๆ ทุกที

การกล่าวเช่นนี้ บางคนอาจมองว่าเป็นการมองโลกในทางร้าย แต่ถ้าพิเคราะห์ให้ดีผลสะท้อนจากการศึกษา ก็มักปรากฏออกมาในทาง ที่เป็นปัญหาจริงๆ

โดยจะขอไล่เรียงอธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้

1.การศึกษาสร้างปัญหาให้ผู้ปกครอง จริงหรือไม่ว่า นับวันระบบการศึกษายิ่งสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวแก่ผู้ปกครองมากขึ้น

ปรากฏการณ์การรับนักเรียนเข้าเรียน ม.1 ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นปัญหาของระบบการศึกษาได้ดี

เราจะเห็นความโกลาหลของผู้ปกครอง ที่อยู่ในอาการหวั่นวิตกว่าบุตรหลานของตนนั้นจะสามารถฝ่าข้ามเส้นแบ่งระหว่างคำว่า ได้ กับ ตก หรือไม่

เมื่อผลสอบ หรือผลการเสี่ยงดวงออกมา จึงมีคนส่วนน้อยที่สมหวัง แต่คนส่วนใหญ่ผิดหวัง

สำหรับผู้ที่พลาดหวัง เมื่อต้องอยู่ในฐานะของผู้แพ้ แม้การที่ต้องตกอยู่ในฐานะดังกล่าว อาจไม่ใช่ความผิดอะไร และไม่ใช่ความต่ำต้อยของสติปัญญาเด็ก แต่มาจากความไร้ปัจจัย (เงิน) ที่ทำให้เข้าไปไม่ถึงโอกาสในการฝึกฝนตนเองก่อนเข้าสู่สนามแข่งขันที่เคร่งเครียดและปวดร้าว จริงหรือไม่

ผู้ที่คว้าชัยโดยมากที่สามารถปีนป่ายเหยียบข้ามบ่าคนอื่นเพื่อไปยืน ณ จุดสูงสุดนั้น ก็คือ ผู้ที่ได้เข้าสู่กระบวนการท่องบ่นวิชาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ติวตั้งแต่เช้ายันค่ำ พร่ำบ่มเพาะการแข่งขันให้เด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล โดยที่ลืมคิดไปว่าจิตวิญญาณก็จำเป็นต้องใส่ลงไปในหัวเขาด้วยเหมือนกัน

เรามี พ.ร.บ.การศึกษาที่มีกลไกตรวจสอบประเมินคุณภาพให้สถานศึกษามีคุณภาพ และมาตรฐานเท่าเทียมกัน

ถามว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ การประเมินของ สมศ. ที่ผ่านไปแล้ว 2 รอบ อะไรคือมรรคผลที่ได้มา นอกจากทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองยิ่งไม่มั่นใจ ไม่เชื่อในระบบโรงเรียนมากขึ้น จึงหันมาพึ่งพาการติวเข้ม "เกมของคนเหนือคน" ถึงกับเชื่อว่า การติวเท่านั้นที่จะพาบุตรหลานของตนสู่ชัยชนะได้

และกระบวนการนี้คือภาพของความเลวร้ายในโลกที่ "มือใครยาสาวได้สาวเอา" อย่างถึงแก่น ใครมือสั้นก็ถูกเบียดให้ล้มลง และถูกเหยียบทับถมให้จมธรณีในที่สุด

2.การศึกษาสร้างปัญหาให้ผู้เรียนทุกระดับ ทุกๆ เดือนแรกมักได้ยินข่าวนักเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้อื่นล้มตาย นี่คือผลผลิตจากระบบการศึกษาที่บีบคั้นและเก็บกด เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ไม่อาจอดกลั้นต่อภาวะนั้นต่อไป การแสดงออกจึงรุนแรง และนำมาซึ่งความสูญเสียมากมาย

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ สังคมไทยกำลังก้าวก่ายไปบนถนนสายนี้

หลายครั้งที่มีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนที่ไม่พึงประสงค์ นักศึกษาฆ่าตัวเองเพราะไม่สมหวังจากการสอบ

ระบบติวเช้าติวเย็น โอยเอาวิชาเป็นตัวตั้ง ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีกมากมาย ทั้งการทุจริตการสอบที่ผู้ปกครองกลายเป็นจำเลยตัว เพราะอยากให้ลูกสอบได้

แม้กระทั่งนักศึกษาชั้นหัวกะทิของประเทศอีกหลายรายได้ใช้วิชาที่เรียนมาทำให้คนรักสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเกิดช่องระหว่างกัน

ยังไม่นับนักการเมืองผู้ทรงเกียรติในสภาหลายคนที่ได้ก่อเหตุสั่นสะเทือนวงการแม้จะพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ

นี่คือผลผลิตของการท่องบ่นวิชา เอาปริญญาเป็นตัวตั้ง และนับวันจะสร้างความทุกข์ระทมให้สังคมไทยเป็นทบทวี

3.การศึกษาสร้างปัญหาให้ ครู อาจารย์ ผู้บริหาร เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่บุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้น โดยสามารถพัฒนาผลงานก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น มีวิทยฐานะในระดับต่างๆ เช่น ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญพิเศษ ในเวลาปีที่ผ่านมา ทำให้ครู ผู้บริหารที่หมกมุ่นอยู่กับกระดาษได้รับการพิจารณาให้เลื่อนวิทยฐานะ ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ จำนวนมาก

แต่ที่น่าคิด ก็คือความรู้ความสามารถของนักเรียนไม่ได้ก้าวหน้าตามไปพร้อมด้วย

ปัญหาเด็กไทยที่จบ ป.6 อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดไม่เป็นนับวันจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น และยังไม่รู้ว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลงอย่างไร

อาจารย์ผู้สอนระดับอุดมศึกษาเอง เมื่อมีตัวชี้วัดจากการประเมินทั้ง กพร.,สมศ. ก็พอกระตุ้นให้อาจารย์มีตำแหน่งทางวิชาการเพิ่มปริมาณขึ้นบ้าง แต่เมื่อพิจารณาเนื้อในแล้ว ปริมาณองค์ความรู้ที่สร้างสรรค์ขึ้นกับจำนวนอาจารย์ที่มีอยู่ เกิดช่องว่างกว้างใหญ่

นั่นแสดงให้เห็นว่าอาจารย์ระดับอุดมศึกษาก็มีปัญหาในตนเอง คือเรียนจบสูง แต่เรียนรู้น้อย ขาดหัวจิตหัวใจ ขาดความทุ่มเทในภารกิจของตน

นี่คือผลสะท้อนหนึ่งในระบบการศึกษาไทย ที่คนชอบเรียนแค่จบกล่าวคือ เมื่อเรียนจบ ก็ไม่คิดอะไรต่อ เมื่อไม่เรียนรู้ ไม่ทำวิจัย ไม่พัฒนาศักยภาพคน ก็อ่อนแอ

เมื่อคนระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นขุมคลังทางปัญญาอ่อนแอ ก็ไม่สามารถเป็นปัญญาของสังคมได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะก้าวข้ามภูเขาแห่งปัญหาการศึกษาไทยที่หมักหมมมายาวนานเหล่านี้ได้อย่างไร

4.การศึกษาคือปัญหาขององค์กร คนในวงการศึกษามักให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่ภารกิจตน เช่น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารโดยการหลอมรวมโรงเรียนประถม/มัธยมให้อยู่ใต้เงาเดียวกัน คือ สพฐ. ก็เริ่มมีการดูหมิ่นดูแคลนกัน ครูมัธยมที่หลงตนว่าโดยสภาพที่ตั้งของโรงเรียนตนเองอยู่สูงกว่าครูประถม ทั้งที่ครูทั้งสองส่วนควรมีความเชื่อมโยงเอื้ออาทรต่อกัน เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรมาชี้ว่า ครูมัธยมดีกว่า หรือเก่งกว่าครูประถมมีการรวมกลุ่มเพื่อยื่นหนังสือขอแยกทางกันในการจัดการศึกษา โดยอ้างเหตุผลว่า การอยู่ร่วมกันทำให้คุณภาพมัธยมตกต่ำ

นี่คือปัญหาระดับวิธีคิด สังคมไทยอ่อนแอเพราะความนึกคิดที่แบ่งแยกใช่หรือไม่ เมื่อใดที่เราคิดว่า เราดีกว่าคนอื่น ก็เกิดความรู้สึกเหยียดหยันเขาไปในตัว

ปัญหานี้จึงไม่ใช่ว่าใครดีกว่าใคร แต่เป็นเรื่องอื่น อาจเป็นเรื่องกิเลสภายใน ที่มักแสดงออกมาเมื่อจะต้องสูญเสียในสิ่งที่ตนเคยได้รับ บางทีคนชั้นครูอาจต้องเสียสละส่วนตนเพื่อให้ส่วนรวมได้ประโยชน์ เพราะเราไม่อาจเป็น "ผู้ได้" ไปตลอดกาล

เมื่อครูยังมีความคิดที่แบ่งแยกอย่างนี้ ความสมานฉันท์ที่เราต่างพากันเรียกหา จะเป็นจริงได้อย่างไร

5.การศึกษาคือปัญหาของสังคม ปัจจุบันมีคนไทยสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างสติปัญญากับปัญญาของคนไทยต่ำลงไปมาก มันคงเป็นผลผลิตจากระบบการศึกษาของเราที่ร่วมกันหล่อหลอมขึ้นมา

ผู้บริหารโรงเรียนประถมต้องยอมให้ผู้เรียนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ผ่านชั้น ป.6 เพราะความกลัวถูกเพ่งเล็งจากผู้บริหารที่อยู่เหนือขึ้นไป ครูเอง แม้จะขัดกับความรู้สึกที่ต้องตอบสนองนโยบายผู้บริหาร

ครูมัธยมก็เริ่มสงสัยครูประถมว่า ทำอะไรกันอยู่ ปล่อยให้เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้

อาจารย์อุดมศึกษา หากยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับประเด็นที่ตีคู่มากับโลกร้อน ก็อาจเป็นได้ว่าการศึกษาจะนำพาสังคมไทยสู่ความอ่อนแอลง และยากที่จะกู้กลับมา

จึงหมดเวลาที่จะไปโทษใครคนใดคนหนึ่ง หากว่าไปแล้วเราทุกคนล้วนมีส่วนในการทำลายประเทศชาติมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้น ครู-อาจารย์จึงควรต้องมาทบทวนบทบาทของตนเอง ครู-ผู้บริหารโรงเรียนทั้งหลาย ต้องบริหารวิชาการให้เข้มแข็ง ต้องแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ให้จงได้ อย่ามัวแต่บริหารความก้าวหน้าเฉพาะตนอยู่เลย เราต่างเป็นผู้ที่อาศัยโลก (ประเทศไทย) อยู่ ทุกคนควรสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามทิ้งไว้ก่อนอำลาจากไป

อาจารย์อุดมศึกษาก็ควรต้องฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็ง พร้อมส่งความเข้มแข็งสู่ศิษย์ และเกิดการส่งทอดความเข้มแข็งและความดีงามนี้ไปยังคนรุ่นต่อไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องช่วยกัน ทำให้การศึกษามีพลังที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ทุกสิ่งและจริงจัง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ผลจะกลับกัน การศึกษาต้องจะเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาของสังคมที่จะนำประเทศชาติสู่ความล่มจมในที่สุด

หน้า 5

เกมศีล5-มัลติมีเดีย เณรสิขาพิชิต 5 มาร

วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6366 ข่าวสดรายวัน

คอลัมน์ สกู๊ปข่าวสด

*สํานักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต จัดทำเกม "เณรสิขา พิชิต 5 มาร" ตามโครงการสื่อประเภทเกมเนื้อหาส่งเสริมพระพุทธศาสนา สนองพระดำริสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งเฉลิมพระเกียรติในวโรกาส การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชครบรอบ 19 ปี

บัดนี้ มหาวิทยาลัยรังสิตได้ดำเนินการจัดทำเกมดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยคณาจารย์ และนักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมสŒมัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ทูลเกล้าถวายเกม แด่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อประทานแก่เด็กและเยาวชน อายุไม่เกิน 18 ปีด้วย

พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า เนื้อหาของเกมนี้ ทางสำนักเลขานุการได้อัญเชิญพระนิพนธ์ เรื่องศีล 5 ของสมเด็จพระสังฆราชมาเป็นเค้าโครงของเกมทั้งหมด โดยมีตัวแสดงในเกมอยู่ 6 คน ได้แก่ เณรสิขา นายปั้ง นายตู่ นายเนี้ยบ นายติ้ง และนายโอ๊ต ซึ่งจะต้องผจญกับ มาร 5 ตน ที่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปเมื่อเข้าสิงคน เช่น โหดร้าย ลักขโมย ผิดลูกผิดเมีย พูดจาโกหกหลอกลวง ติดเหล้า เป็นต้น

ส่วนลักษณะของการเล่นเกมนั้น ผู้เล่นจะควบคุมการเล่นทั้งหมดเหมือนกับว่า เป็นเณรสิขา ใช้พลังจิตควบคุมญาติโยมทั้งห้าคนไม่ให้อยู่ใต้การควบคุมจิตใจของมารทั้งห้า ซึ่งแบ่งเป็น 5 ด่าน โดยผู้เล่นต้องเล่นให้ครบผ่านห้าด่านจึงถือว่าชนะเกมทั้งหมด

ด่านแรก เป็นด่านที่นายปั้งถูกมารควบคุมจิตใจคว้าอาวุธเดินเข้าป่าไปล่าสัตว์ทุกชนิด ทำให้เณรสิขา ต้องเข้ามาป้องกันชีวิตสัตว์ไว้

ด่านที่สอง เป็นด่านที่นายตู่ขโมยของในร้านตนเองออกไป เณรสิขาต้องยับยั้งการกระทำครั้งนี้

ด่านที่สาม นายเนี้ยบหลงหญิงสาว จนไม่สนใจลูกเมีย ทำให้เณรสิขา ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาอีกครั้ง


*ด่านที่สี่ มารได้บังคับจิตใจนายติ๊งให้พูดแต่คำโกหก เณรสิขาต้องสร้างมือวิเศษออกมาคอยตะปบคำโกหกไว้ไม่ให้คำโกหกเหล่านั้นลอยไปเข้าหูชาวบ้าน

ด่านที่ห้า นายโอ๊ตนั้นจะต้องเดินทางผ่านซอยเมรัย ซึ่งมีแต่สถานบันเทิง ร้านสุรายาเมา เณรสิขาจะต้องคอยควบคุมให้นายโอ๊ตหลบสิ่งของเหล่านี้ให้ได้

"ทั้งนี้ เมื่อผู้เล่นผ่านครบทั้งห้าด่านก็จะถือว่าเล่นเกมได้จบสมบูรณ์ โดยเกมจะแฝงความสนุก ผสานกับสาระคำสอนของพุทธศาสนา" หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ กล่าว

สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้จัดทำเกมขึ้น จำนวน 99,999 แผ่น เพื่อแจกจ่ายให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งจะนำไปแจกย่านศูนย์การค้าสำคัญๆ ตลอดจนเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เขียนไปรษณียบัตร "คำอารธนา ศีล 5" ส่งมาที่ตู้ ป.ณ.121 ปทุมธานี 12000 เพื่อรับเกมในชุดแรกจำนวน 4,919 แผ่น

สามารถส่งมาได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2551 จากนั้น บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด จะจัดส่งเกมให้ถึงบ้านของผู้ส่งไปรษณียบัตรเข้ามาต่อไป

ขณะเดียวกัน นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้มอบต้นฉบับเกมเณรสิขา พิชิต 5 มาร พร้อมงบประมาณสนับสนุน จำนวน 200,000 บาท ให้แก่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เพื่อให้ดำเนินการจัดทำสำเนาเกม แจกให้แก่สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

นายอาทิตย์ กล่าวว่า ในนามมหาวิทยาลัยรังสิต ได้มอบต้นฉบับเกม เณรสิขา พิชิต 5 มาร ให้แก่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เพื่อให้ดำเนินการจัดทำสำเนา แจกให้แก่สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สอนแนวพระดำริสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงอยากให้ เด็กและเยาวชน ได้เรียนรู้ธรรมะอย่างง่าย และเป็นสื่อที่มีความทันสมัย สามารถจูงใจให้เข้าถึงศีล 5 มากขึ้น


*อย่างไรก็ตาม รู้สึกภูมิใจที่นักศึกษาของมหาวิทยา ลัยรังสิต ได้เป็นผู้ผลิตเกมดังกล่าวขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ ได้ซึมซับหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนได้ฝึกทักษะตามหลักวิชาที่ได้เรียนมาด้วย

"ผมหวังว่า เกมดังกล่าวจะจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ แก่เด็ก และเยาวชน ให้ลดความรุนแรง ส่งเสริมให้รู้หลักของศีลธรรม อย่างง่ายๆ โดยเฉพาะหลักของศีล 5 ที่เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตน เป็นชาวพุทธที่ดี และที่สำคัญ อยากให้ผู้ผลิตเกมได้คำนึงถึงเด็ก เยาวชน อย่าเน้นทำเกมที่มีแต่ความรุนแรง ทำลายล้าง และมีแต่อุบายที่ฉ้อฉล ที่จะส่งผลต่อเด็กในอนาคต" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตกล่าว

ด้านอาจารย์สุทธิ สุทธิประการ อาจารย์ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโล ยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความเป็นมาของการสร้างเกม "เณรสิขา พิชิต 5 มาร" ว่า ตนและอาจารย์สุธีร์ ธนรัช รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะศิลปะและการออกแบบ ได้มีโอกาสพูดคุยกับทางสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ถึงวโรกาสปีมหามงคลที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ครบ 19 ปี ในวันที่ 21 เมษายน 2551 ทางสำนักอยากให้สร้างเกมส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยนำคำสอนทางศาสนามาไว้ในเกมให้เยาวชนได้ซึมซับ

ตนจึงนำเรื่องดังกล่าวมาปรึกษากับคณบดีและหัวหน้าสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทางคณะจึงให้การสนับสนุนและผลักดันให้นักศึกษาที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเกมดังกล่าว โดยมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามความถนัดของนักศึกษาแต่ละคน เช่น การเขียนบท เขียนโปรแกรม กราฟิก เป็นต้น

นายธเนศวร ธรรมลงกรต นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโล ยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ตัวแทนนักศึกษาที่ร่วมสร้างเกม กล่าวว่า เกม "เณรสิขาพิชิต 5 มาร" เป็นเกมที่แฝงคำสอนทางพระพุทธศาสนา เรื่อง "ศีล 5" ที่ต้องการให้ผู้เล่นได้รับความสนุกสนานและได้แง่คิดคำสอนทางพระพุทธศาสนาด้วย ซึ่งเกมดังกล่าวเป็นเกมเกี่ยวกับเณรที่มีนามว่า สิขา ที่ต้องมาปราบมาร 5 ตน ที่หลุดหนีออกมาจากนรกเข้ามาสิงอยู่ในญาติโยมของเณรสิขา

มารที่ว่าเกี่ยวกับศีล 5 ประกอบด้วย 1.มารที่ชอบฆ่าสัตว์ 2.มารหัวขโมย 3.มารที่มากด้วยตัณหา 4.มารที่ชอบพูดโกหก และ 5.มารที่ติดเหล้า ติดยาเสพติดให้โทษ เณรสิขาจะต้องใช้พลังจิตที่ได้จากการฝึกสมาธิมาแต่กำเนิด ต่อสู้ขัดขวางเหล่ามารที่สิงอยู่ในญาติโยมทั้ง 5 ให้กลับมามีชีวิตเป็นปกติสุขอย่างเดิม โดยเฉพาะศีลข้อ 5 ที่ว่าด้วยการละเว้นการดื่มน้ำเมาที่ทำสำเร็จแล้ว และกำลังเปิดให้โปรแกรมที่ http://www.rsu.ac.th ซึ่งพวกเราได้ผลิตและปรับปรุงให้เสร็จสมบูรณ์ครบทั้ง 5 ศีลแล้ว

"ผมและเพื่อนในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย ประมาณ 10 คน เห็นว่าเป็นโครงการน่าสนใจมาก พวกเราเรียนมาทางด้านการสร้างเกมโดยตรง จึงอยากมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เกมที่ดีและมีประโยชน์ให้แก่เยาวชน และรู้สึกภูมิใจมากที่เกมนี้จะได้ถวายสมเด็จพระสังฆราช ในวโรกาสปีมหามงคลดังกล่าว ซึ่งพวกเราทุกคนใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในการสร้างเกม" นายธเนศวร กล่าวเสริม

สำหรับผู้ที่สนใจเกม "เณรสิขา พิชิต 5 มาร" สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร โทร.0-2281-2831-3

หน้า 30

ภควัทคีตา..คัมภีร์ของผู้นำ

*ภควัทคีตา..คัมภีร์ของผู้นำ

เห็นน่าสนใจ เลยเอามาให้ได้อ่านกัน

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/tarot
Posted by นาราด้า

...เมื่อใดที่ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังท้อแท้ มองไม่เห็นหนทางในการแก้ปัญหาชีวิต
เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะหันเข้าหา ภควัทคีตา...
หลังจากได้อ่านบทโศลกอันช่วยประโลมดวงใจอ่อนล้านั้นแล้ว
ข้าพเจ้าก็จะยิ้มออกท่ามกลางภาวะรุมเร้าของความยากลำบาก
ชีวิตของข้าพเจ้าดำเนินมาท่ามกลางความรันทุดทุกข์ยาก
แต่ความขุกเข็ญเหล่านั้นต่างก็ค่อยๆ มลายหายไป ทั้งนี้ ก็ด้วยอาศัยพลังใจจาก ภควัทคีตา ที่ข้าพเจ้าเป็นหนี้อยู่สุดคำนวณนับ...มหาตมะ คานธี



ได้อ่านงานเขียนของอาจารย์กรุณาเรืองอุไร เรื่อง มหาภารตะ แล้ว ประทับใจอย่างมากเลยค่ะ เป็นเรื่องที่ทำให้ได้รับความรู้มากมาย วรรณคดีของไทยมากมายล้วนแล้วแต่ต่อยอดมาจากเรื่องของ มหากาพย์มหาภารตะทั้งสิ้น



ใครก็ตามที่ได้อ่าน รามเกียรติ์ อันเป็นเรื่องราวของสุริยะวงศ์ (สายสกุลพระอาทิตย์) จะต้องลองอ่าน มหาภารตะ อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ จันทรวงศ์ (สายสกุลพระจันทร์) เพราะ ในมหาภารตะนั้น จะมีเรื่องของภควัทคีตา แทรกอยู่ด้วย เพราะ ภควัทคีตา นั้น แสดงถึงปรัชญาอันลุ่มลึกซับซ้อน และ จะนำท่านไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง...ซึ่งอาจอยู่ที่ไหนสักแห่ง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อันอาจจะเป็นวันนี้ เมื่อวาน หรือ เมื่อสองพันปีล่วงมาแล้ว...ก็ตาม แต่คำสอนและความรู้ที่เราได้จากการอ่านภควัทคีตานี้จะทำให้เราตระหนักในหลักธรรม คำสอน ของ พระเป็นเจ้า คิดดี ทำดี ย่อมมีชัยเหนืออธรรม



อยากแนะนำผลงานวรรณกรรมจาก มหากาพย์มหาภารตะ ของมหาฤาษี กฤษณะ ไทวปายนะ วยาสะ (วยาส) แปลและเรียงเรียงโดย สมภาร พรมทา อันเป็นคัมภีร์โบราณ



ภควัทคีตา เป็นชื่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู โดยเฉพาะสำหรับนิกายไวษณพหรือผู้ที่ยกย่องพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นพระเจ้าสูงสุด ชื่อคัมภีร์ ภควัทคีตา (ภควตฺ + คีตา) แปลว่า 'บทเพลง (หรือลำนำ) แห่งพระผู้เป็นเจ้า'
คัมภีร์นี้มิได้มีลักษณะเป็นเอกเทศ คือมิได้แต่งขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเป็นเล่มเฉพาะเหมือนดังคัมภีร์พระเวทแต่ละเล่ม แท้ที่จริงเป็นเพียงบทสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งเป็นข้อความที่แทรกเข้ามาในบรรพที่ 6 (ภีษมบรรพ) แห่งมหากาพย์มหาภารตะ
ในบทสนทนาโต้ตอบดังกล่าวนี้ ฝ่ายที่ถามปัญหาคือพระอรชุน เจ้าชายฝ่ายปาณฑพแห่งจันทรวงศ์ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพใหญ่มาทำสงครามแย่งชิงเมืองหัสตินาปุระจากฝ่ายเการพแห่งจันทรวงศ์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีเจ้าชายทุรโยธน์และกองทัพพันธมิตรมากมายเป็นศัตรูคู่สงครามด้วย
ฝ่ายที่ตอบปัญหาทั้งหมดและเป็นผู้อธิบายตลอดทั้งเรื่องก็คือ พระกฤษณะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายราชสกุลจันทรวงศ์ สาขายาทพ

ในขณะที่ตอบปัญหาอันล้ำลึกดังกล่าวนั้น พระกฤษณะกำลังทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถศึกให้พระอรชุน บทสนทนาโต้ตอบนี้ถ่ายทอดออกมาโดยสญชัย ผู้เป็นเสวกามาตย์ของพระเจ้าธฤตราษฏร์ พระราชาพระเนตรบอดแห่งเมืองหัสตินาปุระ โดยมหาฤษีวยาสหรือพระฤษีกฤษณไทวปายนเป็นผู้ให้ตาทิพย์แก่สญชัย เพื่อแลเห็นเหตุการณ์รบพุ่งในมหาสงครามครั้งนั้นอย่างแจ่มแจ้งทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในพระราชวัง และคอยกราบทูลพระเจ้าธฤตราษฎร์ให้ทราบการเคลื่อนไหวทุกขณะในสมรภูมิ

เพราะฉะนั้นข้อความสนทนาระหว่างบุคคลทั้ง 2 ในสนามรบก่อนจะเริ่มมหาสงครามจึงเป็นถ้อยคำที่สัญชัยเรียบเรียงทูลถวายพระเจ้าธฤตราษฎร์ และมาให้ชื่อกันในภายหลังว่า ภควัทคีตา ทั้ง ๆ ที่ชื่อเดิมในมหาภารตะเรียกข้อความตอนนี้ว่า ภควัทคีโตปนิษัท (ภควตฺ + คีตา + อุปนิษทฺ)

ด้วยเหตุที่มีข้อความหลายตอนคัดลอกมาจาก คัมภีร์อุปนิษัท ฉบับต่างๆ อันเป็นหมู่คัมภีร์รุ่นสุดท้ายในสมัยพระเวท ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เวทานตะ (ที่สุดแห่งพระเวท) ตลอดจนความคิดเรื่องอาตมัน ปรมาตมัน พรหมัน อันเป็นแก่นหรือสาระสำคัญที่สุดในคำสอนของอุปนิษัททุกเล่ม ก็มีกล่าวถึงหลายต่อหลายครั้งในภควัทคีตา จะแตกต่างกันเล็กน้อยก็ตรงที่ว่าข้อความในคัมภีร์อุปนิษัทนั้นแต่งเป็นภาษาร้อยแก้ว แต่ในคัมภีร์ภควัทคีตาแต่งเป็นบทร้อยกรอง ฉะนั้น

ถ้าจะกล่าวโดยแท้จริงแล้ว คำสอนในคัมภีร์ภควัทคีตา เกือบครึ่งเล่มเป็นคำสอนในคัมภีร์อุปนิษัท และอีกกว่าครึ่งเล่มเป็นคำสอนแบบของพวกภาควตะ ซึ่งบูชาพระกฤษณะเป็นเทพสูงสุดในนิกายของตน และคำสอนแบบดังกล่าวนี้มีมานานแล้วในหมู่พวกภาควตะอันเป็นชนอารยันอินเดียเผ่าหนึ่ง ต่อมาพวกนิกายไวษณพ หรือพวกที่นับถือพระวิษณุเป็นพระเจ้าสูงสุดได้ผนวกเอาพระกฤษณะเข้าไปเป็นพระวิษณุอวตาร หรือนารายณ์อวตารปางที่ 8

คำสอนของพวกภาควตะซึ่งเน้นในเรื่องความนับถือพระกฤษณะเป็นเทพสูงสุดก็ถูกกลืนเข้าไปผสมผสานกับแนวความคิดของพวกไวษณพที่มีส่วนในการแต่งมหากาพย์มหาภารตะอยู่มากมายหลายตอนจึงปรากฏออกมาในรูปภควัทคีตาดังที่ปรากฏเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้ และการที่จะเรียกหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ว่า ภควัทคีโตปนิษัท หรือ ภควัทคีตา หรือ คีตา เฉย ๆ ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของคนอินเดียนิกายไวษณพ ในรูปแบบของบทสนทนาที่มีข้อความเกือบทั้งหมด เป็นคำอธิบายเรื่องวิถีทางไปสู่พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด

ส่วนบทที่เป็นคำถามของพระอรชุนในเรื่องความลึกลับและวิถีทางแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้น ก็เป็นเพียงส่วนประกอบที่เล็กน้อยเหลือเกิน คล้าย ๆ กับเป็นบทเชื่อมต่อระหว่างคำอธิบายอันยืดยาว แต่ละตอนของพระเจ้าในร่างมนุษย์คือพระกฤษณะเท่านั้นเอง

คัมภีร์ภควัทคีตา แบ่งออกเป็นตอน ๆ เรียกว่า อัธยายะ รวมทั้งสิ้น 18 อัธยายะด้วยกัน

ภควัทคีตา มี 18 อัธยายะ

หรือบท 1.อรชุนวิษาทโยคะ (ความท้อถอยของอรชุน) 2.สางขยโยคะ (หลักทฤษฎี) 3.กรรมโยคะ (หลักปฏิบัติ) 4.ชญาณกรรมสันยาสโยคะ (หลักจำแนกญาณ) 5.กรรมสันยาสโยคะ (หลักว่าด้วยการสละกรรมและการประกอบกรรม) 6.ธยานโยคะ (หลักการเข้าฌาน) 7.ชญาณโยคะ (หลักญาณ) 8.อักษรพรหมโยคะ (หลักว่าด้วยพรหมไม่เสื่อมเสีย) 9.ราชวิทยาราชคุยหโยคะ (หลักว่าด้วยเจ้าแห่งวิทยาและเจ้าแห่งความลึกลับ) 10.วิภูติโยคะ (หลักทิพยศักดิ์) 11.วิศวรูปทรรศนโยคะ (หลักว่าด้วยการเห็นธรรมกาย)

12.ภักติโยคะ (หลักความภักดี) 13.เกษตรชญวิภาคโยคะ (หลักจำแนกร่างกายและผู้รู้ร่างกาย) 14.คุณตรัยวิภาคโยคะ (หลักจำแนกคุณ 3) 15.ปุรุโษตตมโยคะ (หลักว่าด้วยบุรุษประเสริฐ) 16.ไทวาสุรสัมปทวิภาคโยคะ (หลักว่าด้วยการจำแนกเทวสมบัติและอสูรสมบัติ) 17.ศรัทธาตรัยวิภาคโยคะ (หลักจำแนกศรัทธา 3) 18.โมกษสันยาสโยคะ (หลักว่าด้วยการสละที่เป็นปฏิปทาแห่งโมกษะ)

คัมภีร์ภควัทคีตาว่าด้วยหลักธรรม 2 ประการ

คือ หลักอภิปรัชญา ว่าด้วยเรื่องอาตมันว่ามีสภาพเป็นสัตว์ที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีใครฆ่าหรือทำลายได้ และหลักจริยศาสตร์ ว่าด้วยธรรมะหรือหน้าที่ของกษัตริย์ คือหน้าที่รบเพื่อทำลายล้างอธรรม และผดุงศีลธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน




อยากเห็นการเมืองการปกครองของไทยเรานี้....เป็นเหมือนอย่างการเมืองการปกครองในมหากาพย์ภารตะมากเลยค่ะ ....

มหากาพย์มหาภารตะ เป็นเอกภาพในท่ามกลางความแตกต่าง และเจตจำนงของวรรณกรรมชิ้นที่ได้สร้างภาพประทับใจให้เกิดแก่ผู้อ่านและผู้ฟังว่า อินเดียเป็นผืนแผ่นดินทีขึ้นอยู่กับศูนย์กลางการปกครองแหล่งเดียวกัน มีขนบธรรมเนียมอันองอาจแกล้วกล้าของตนเอง เป็นเครื่องช่วงหล่อหลอมและสมัครสมานความสามัคคี”
มหากาพย์มหาภารตะนี้ได้เน้นสอนให้เรารู้จักความสำคัญของหลักศีลธรรมและจริยธรรมในการปกครองบ้านเมือง ตลอดจนในการดำเนินชีวิตโดยทั่วๆ ไป ซึ่งเราเรียกว่า ธรรมะ หากปราศจากพื้นฐานแห่งธรรมนี้แล้วไซ้ร์ ชีวิตก็จะไม่มีความสุขอย่างแท้จริง และสังคมก็จะไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวกันไว้ได้ เป้าหมายที่คนในสมัยนั้นต้องการบรรลุถึงก็คือ สวัสดิภาพของสังคม ซึ่งมิใช่เป็นแต่เพียงสวัสดิภาพของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น หากแต่เป็นสวัสดิภาพของสังคมทั้งผอง ทั้งนี้ก็เป็นไปตามอุดมการณ์ที่ว่า
“ในโลกนี้สรรพสัตว์ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกัน” แต่ถึงกระนั้นธรรมะเองก็สัมพันธ์และขึ้นอยู่กับกาลเวลาและสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ยกเว้นแต่หลักอันเป็นมูลฐานบางประการ เช่น หลักแห่งการยึดมั่นอยู่กับสัจธรรม หลักแห่งการไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือที่เรียกกันว่าหลักอหิงสา ฯลฯ อันเป็นหลักที่ธำรงอยู่โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ส่วนหลักอื่นนอกเหนือจากนี้ที่เรียกกันว่า ธรรมะ อันหมายถึง สิ่งที่รวมกันเข้าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบนั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
หลักอหิงสา ได้รับการเน้นหนักในมหากาพย์มหาภารตะนี้ เช่นเดียวกับที่ได้รับการเน้นหนักในที่อื่น ทั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะว่า หลักการนี้ดูไม่ขัดอะไรกับอุดมการณ์ของการต่อสู้เพื่อเป้าหมายอันชอบธรรมเลย มหากาพย์มหาภารตะ ทั้งเล่มมีจุดใหญ่ใจกลางอยู่ที่การรบอันยิ่งใหญ่ คือ มหาภารตะยุทธ์
โดยทั่วไปแล้วมโนคติอันเกี่ยวกับอหิงสา หรือหลักไม่เบียดเบียนกันนั้น ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อย่างมากกับเจตนา อันหมายถึง ไม่มีจิตใจเคียดแค้น การมีสติสัมปชัญญะควบคุมตนเองได้ และการอดกลั้นต่อความโกรธ และความชิงชัง แทนที่จะหมายถึงเพียงการเลิกละหรือยับยั้งจากการกระทำอันรุนแรงใดๆ ในเมื่อการกระทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้”


ศรีเนห์รู รัฐบุรุษ ผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวอินเดียเกือบ 500 ล้านคน ได้เขียนพรรณนาคุณค่าของ มหากาพย์มหาภารตะ ต่อไปว่า
“ มหากาพย์มหาภารตะ เป็นคลังพัสดุที่เราสามารถค้นหาสิ่งดีมีค่านานาประการได้อย่างครบถ้วน เป็นงานวรรณกรรมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หลากรสหลายชนิด และอุดมสมบูรณ์อย่างล้นเหลือ ซึ่งผิดแผกแตกต่างอย่างมากมาย กับอีกลักษณะหนึ่งในแนวความคิด ในยุคต่อมาของอินเดีย อันเป็นแนวความคิดที่ เน้นถึงความสำคัญของการบำเพ็ญพรตและการละเว้นจากโลกีย์วิสัย
มหากาพย์มหาภารตะ มิใช่เป็นงานวรรณกรรมที่บรรจงแต่คำสอนในเรื่องอันเกี่ยวกับศีลธรรมเท่านั้น แม้ว่าจะมีเรื่องประเภทนี้อยู่ไม่น้อยก็ตาม สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ได้สรุปเป็นใจความดังนี้ว่า
“จงอย่าทำสิ่งที่ท่านไม่อยากให้ผู้อื่นกระทำต่อท่าน” เป็นที่น่าสังเกตว่า มหากาพย์โบราณชิ้นนี้ ได้เน้นหนักถึงเรื่อง สวัสดิภาพของสังคม ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตใจของชาวอินเดียนั้น มักจะมีผู้เข้าใจกันว่า มีความโน้มเอียงไปในทางหาความสมบูรณ์หรือสัมฤทธิ์ผลส่วนบุคคล แทนที่จะคำนึงถึงสวัสดิภาพของส่วนรวม มหากาพย์มหาภารตะสอนว่า
“สิ่งใดที่ไม่ก่อผลดีให้แก่สวัสดิภาพของสังคม หรือสิ่งใดที่สร้างความละอายใจให้แก่ท่าน สิ่งนั้นขอท่านจงอย่ากระทำเป็นอันขาด”
นอกจากนี้มหากาพย์มหาภารตะยังได้สอนไว้อีกว่า
“ การแสวงหาสัจธรรม การควบคุมตนเอง การปฏิบัติสมาธิภาวนา การบำเพ็ญทาน การไม่เบียดเบียนกัน การยึดมั่นในคุณธรรม เหล่านี้ต่างหากคือ หนทางไปสู่ความสำเร็จ หาใช่ชาติกำเนิดวรรณะหรือสกุลไม่”
“คุณธรรมเป็นสิ่งประเสริฐกว่าความไม่ตายและการมีชีวิต”
“ความสุขที่แท้จริงนั้น จะแยกออกเสียจากความทุกข์หาได้ไม่”
ส่วนผู้ที่มุ่งแต่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียวในชีวิตนั้น
มหากาพย์มหาภารตะ ก็มีคำเหน็บแนมฝากเตือนใจไว้ว่า
“ตัวไหมย่อมตายด้วยไหมของมันเอง”
และท้ายที่สุด มหากาพย์มหาภารตะ มีคติพจน์ที่สะท้อนให้เห็นถึง จิตใจของชนชาติที่รักความก้าวหน้า และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา คติพจน์นั่นก็คือ
'ความไม่พอใจเป็นสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้มนุษย์เราก้าวไปข้างหน้า”
ท่านศรีเนห์รูได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Discovery of India ของท่านค่ะ ขอขอบคุณแหล่งความรู้ดีดีจากหนังสือภารตวิทยาของ ท่านอาจารย์ กรุณา-เรืองอุไร- กุศลาสัย
ติดตามอ่านเรื่องย่อ มหากาพย์มหาภารตะได้ในบทความของ วันที่ 25 ตุลาคม 2550 นะคะ

ขอขอบคุณ blog ดีๆ ของคุณ "นาราด้า" มากค่ะ


บล็อคคุณ "นาราด้า"

การก่ออิฐมวลเบา

ที่มา : มติชนออนไลน์

วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11012

คอลัมน์ ครบเครื่อง เรื่องรักษ์บ้าน

โดย ช่างอ้วน loves_homes@yahoo.co.th



*คุณบดิศร (กทม.) บอกว่า เพิ่งไปเดินงานสถาปนิกที่เมืองทองมา เห็นบู๊ธอิฐมวลเบา เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธบอกว่าติดตั้งง่าย เลยคิดว่าจะใช้อิฐมวลเบาปรับปรุงโรงรถเป็นห้องทำงาน ซึ่งถ้าการทำไม่ยากจนเกินไปอยากทำเอง ขอคำแนะนำด้วย


ตอบคุณบดิศร การที่จะก่อผนังด้วยอิฐมวลเบาเองนั้นจะว่าง่ายก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว จะว่ายากก็ไม่ยากจนเกินไป แต่ต้องอาศัยว่ามีใจรักงานช่างมากหน่อย โดยขั้นตอนการทำงาน มีดังต่อไปนี้

1.ผสมปูนทรายทั่วไปสำหรับปรับระดับบล็อคชั้นแรกและผสมปูนก่ออิฐมวลเบาเพื่อประสานระหว่างบล็อค แล้วตักปูนทรายทั่วไปป้ายลงบนพื้นตามแนวที่จะก่อผนัง หนาประมาณ 3-4 เซนติเมตร แล้วเริ่มวางอิฐมวลเบาก้อนแรกลงไปบนปูนทราย ใช้ค้อนยางเคาะปรับแต่งให้ได้แนว-ระดับ โดยอาศัยแนวเชือกหรือสายเอ็นที่ขึงไว้แล้ว

2.ใช้เกรียงก่ออิฐมวลเบา (มีรูปทรงคล้ายกระบวย) ตามขนาดของอิฐ ตักปูนก่ออิฐมวลเบาปาดลงด้านข้างของก้อนแรก โดยลากจากด้านล่างขึ้นมาจนเต็มก้อน ความหนาของปูนก่อประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และวางก้อนที่สองให้ชิดกับก้อนแรก ปรับแนวระดับด้วยค้อนยางและระดับน้ำ แล้วก่อต่อไปด้วยวิธีเดียวกันจนเสร็จแนวก่อแถวแรก

3.จากนั้นจึงเริ่มก่อแถวที่สอง โดยใช้เลื่อยตัดบล็อคครึ่งก้อน ทั้งนี้ การตัดก้อนอิฐมวลเบาให้ใช้เลื่อยมือหรือเลื่อยวงเดือนและควรใช้เหล็กฉากช่วยเพื่อการตัดที่ได้ฉาก เพื่อให้ได้แนวรอยต่อแนบสนิท แข็งแรง จากนั้น ปาดปูนก่ออิฐมวลเบาลงด้านบนของบล็อคแถวแรก แล้วจึงยกบล็อคแถวที่ 2 วางทับลงไป จากนั้นใช้ค้อนยางเคาะปรับระดับเช่นเดียวกัน กำหนดให้แนวรอยต่อก้อนเยื้องสลับกันอย่างน้อย 10 เซนติเมตร แล้วก่อแถวต่อไปด้วยวิธีเดียวกันจนแล้วเสร็จ

4.เมื่อก้อนบล็อคชนโครงสร้าง เช่น คานหรือเสา คสล.ให้ยึดผนังโดยใช้แผ่นเหล็ก (Metal Strap) ตอกยึดด้วยตะปูคอนกรีตทุกๆ 2 แถวของแนวก่อบล็อค ทั้งนี้ ให้ปาดปูนก่อระหว่างแนวรอยต่อวัสดุไว้ด้วย

5.แถวบนสุดของผนัง ให้เหลือช่องว่างใต้คานหรือพื้นประมาณ 2-3 เซนติเมตร แล้วอุดด้วยปูนทรายทั่วไปให้เต็ม กรณีโครงสร้างคานหรือพื้นของโรงรถมีการแอ่นตัวมาก ให้อุดด้วยแผ่นโฟมก่อน แล้วจึงอุดปูนทรายทั้งสองด้านครับ

จะเห็นว่าในการทำงานมีหลายขั้นตอน และต้องใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือหลายอย่างด้วยกัน (นอกเหนือจากอิฐมวลเบา) เช่น ปูนเทปรับระดับ, ปูนก่อสำเร็จรูป, ปูนฉาบละเอียด, เลื่อยลันดาขนาด 24 นิ้ว, เกรียงขัดมัน, เกรียงโบกปูน, ระดับน้ำ, ตลับเมตร, สายเอ็น เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ บางที การจ้างผู้รับเหมาอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็เป็นได้ครับ

คำถามต่อมาส่งมาจากคุณสายใจ (กทม.) ถามว่า น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรด หรือด่าง มีผลต่อผิวหน้ากระเบื้องหรือไม่อย่างไร?

ตอบคุณสายใจ โดยปกติแล้วไม่น่าจะมีผลใดๆ ถ้าความเข้มข้นของน้ำยาไม่เกิน 3% เพราะกระเบื้องเซรามิคต้องผ่านการทดสอบความต้านทานต่อสารเคมี ซึ่งเป็นการทดสอบความทนทานของกระเบื้องต่อสารเคมีประเภทกรดและด่างที่ความเข้มข้นต่างๆ กันตามมาตรฐาน ISO 10545: 1995 (E) ว่าต้องสามารถทนกรดและด่างได้ โดยการแช่ทิ้งไว้ในกรด-ด่าง ที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 3% จำนวน 4 วัน (สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็น กรดหรือด่างชนิดต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะมีความเป็นกรดหรือด่าง ไม่เกิน 3%)

แต่ถ้าสารเคมีชนิดนั้นมีค่าความเป็นกรดหรือด่างเข้มข้นมากกว่า 3% ก็จะมีผลต่อการกัดกร่อนผิวของกระเบื้องได้ ซึ่งคงต้องสอบถามไปยังบริษัทผู้ผลิตน้ำยาทำความสะอาดนั้นก่อนนะครับ

หน้า 18

ประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายเพราะ Double A

(( จากเวป "เด็กดี" ))


ประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายเพราะ Double A
(ในหลวงทรงเตือนแล้วไม่ฟัง)
เราไม่มีเจตนาที่จะทำลายหรือป้ายสีอะไรในบริษัท Double Aทั้งนั้น เพียงแต่ต้องการเปิดเผยความจริงแก่ทุกคน
อย่างที่หลายๆคนคงจะเห็นในโฆษณาเชิญชวนให้พี่น้องเกษตรกรหลายคนหันมาปลูกต้นกระดาษ Double Aโดยอ้างว่าปลูกแล้วจะรวยขึ้นทันตาเห็น
แต่ก่อนอื่นอยากบอกก่อนว่าที่จริงต้นไม้ที่ว่านั้นก็คือต้นยูคาลิปตัสที่ได้ทำการดัดแปลงพันธุกรรมแล้วนั่นเอง
ที่อุทยานแห่งชาติปางสีดา ตามทิวเขาจะมีต้นไม้ที่ชาวบ้านนิยมปลูกกันมาก ต้นไม้เหล่านั้นจะเรียงตัวกันเป็นแถวๆดูแล้วสวยงามสูงใหญ่
ภายหลังได้รู้ว่านั่นก็คือไร่ยูคาลิปตัสจากวิทยากรภายในอุทยานนั้น ท่านวิทยากรได้พูดให้เราฟังว่า การนำต้นยูคาลิปตัสหรือต้น Double Aมาปลูกนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก

ในหลวงท่านก็เคยดำรัสไว้ว่าชาวบ้านไม่ควรนำต้นเหล่านี้มาปลูก
เพราะมันเป็นพืชต่างถิ่นท่านวิทยากรก็เสริมว่าต้นยูคาเป็นพืชเชิงเดี่ยว เมื่อปลูกแล้วจะส่งผลให้พื้นแผ่นดินในบริเวณนั้นแห้งผาก เนื่องจากมันนี้จะดูดซึมน้ำอย่างรวดเร็วและต้องการน้ำมากทำให้รากของต้นๆหนึ่งอาจยาวได้ถึง20เมตรเลยทีเดียว

เมื่อดินบริเวณนั้นถูกดูดน้ำจนหมดผืนดินก็จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด

ว่าแล้ววิทยากรก็หยิบดินให้เราดูแล้วโปรยลงพื้นมันคือทรายชัดๆ
แทนที่จะเป็นดินในป่าแบบนี้
แล้วเราอยากให้ทุกคนคิดดูถ้ามีการปลูกต้น Double Aเป็นจำนวนมาก ผู้คนได้ผลกำไรอย่างงอกงามในการทำธุรกิจกับแผ่นดินของชาติ

แต่นานๆไปเล่าจะเกิดอะไรขึ้น!

ผืนแผ่นดินไทยในอนาคตก็มีโอกาสจะกลายเป็นทะเลทรายได้ไม่ใช่ว่าการปลูกต้นไม้ไม่ใช่เรื่องดีนะคะแต่สำหรับเจ้าต้นยูคานี้
เป็นต้นไม้ที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปลูกในภูมิภาคแบบประเทศไทยเลย

รักเธอ..."ประเทศไทย"

(( ได้รับการส่งต่อมาจากเวป "เด็กดี" ))

ไม่ต้องการธงชาติใด ขึ้นสู่ยอดเสานอกจาก "ธงชาติไทย"

ไม่ต้องการร้องเพลงชาติใดนอกจาก "เพลงชาติไทย"

ไม่ต้องการกราบใครนอกจาก "พระเจ้าอยู่หัว" ของปวงชนชาวไทย

รู้หรือเปล่าว่าปี 2553 จะเป็นจุดจบของประเทศไทย...ถ้าเป็นคนไทยช่วยอ่านให้จบด้วย

เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรรู้ ประเทศต่างๆในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา .....ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน
สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค
ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14ประเทศ
ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น
แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์
และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา

ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ
คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน !
ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553
ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์
สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล

ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน
และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ
ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง
เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย
จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน
คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน
เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้
เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน
เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า
เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs
และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้
วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้
เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว
ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร
ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์
คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้

ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้
การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ
ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว
เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้
เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,
Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ

ดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด...
เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ...รัฐจะอยู่ได้ฤา ?

4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย
เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553
คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย
การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น
จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย
ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน

จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา
เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ
เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก
นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia
ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่

เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ?

ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิมาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น
ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์
บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน
รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ
ก่อนล่มจริง... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ
ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร
เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท
เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกัน

นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง
ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น
เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์
สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่
เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ
ถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท

ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว
ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ
คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์
เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร
ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง
เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด

ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง
หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ
ได้ผล... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มาก
พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง
ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ
แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย
ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟัง
ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ
ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ
มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน
ขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ
เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี
ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว

ปล. ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมาก
ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน

"ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพริ้ว แรริ้วๆสลับงามเป็นสามสี

ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้ แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ

ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งซวง

พื้นแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก เราแสนรักและแสนจะแหนหวง

แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง ชีพไม่ร่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี

เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี

เพลงกระหน่ำก้องฟ้าก้องธารี แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ

แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวไทยร้าวใจเหลือ คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้

บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย บ้างฝักใฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง

ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่วันทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง

ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะลองเพลงชาติไทยให้ใครฟัง "


เราอ่านแล้วเราร้องไห้หน้าคอมเลยอะ มีใครเป็นเหมือนเรามั้ย
เกลียดนักการเมืองที่โกงชาติที่สุด เราอายุ 14 เรายังรักชาติขนาดนี้เลย
แล้วนักการเมืองที่แก่หงำเหงือก ที่โกงชาติอะ ไม่รู้จักคิด
ทำอะไรรู้จักเกรงใจพ่อบ้างนะ
พ่อหลวงน่ะ

เรากลัวมากเลย พออ่านเจอประโยคนี้

ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน !

ดูสิ มันจะเป็นยังไง มีใครเป็นบ้าที่พออ่านจนจบแล้วร้องไห้เหมือนเรามั้ย

จะเป็นพระคุณมากๆ ถ้าเอาไปโพสต์ไว้เว็บอื่นด้วย ขอบคุณจริงๆ

บริบ่นรำพรรณ ๑๒

กวี ปากมีสี

* โอ๊ะ โอ โอ้ โอ๊ะ โอว ...บ้านเมือง จะลุกเป็นไฟ บ้านเมือง จะลุกเป็นไฟ เมื่อ คนไร้สัตย์ มากกลโกง มามีอำนาจ

พุทธศาสน์ จะล่มสลาย พุทธศาสน์ จะล่มสลาย เมื่อ พวก กระหายแห่มาครอง สภา
หากประชา ปิดตา ปิดหู หากประชา ปิดตา ปิดหู มัวหลง เศษเงิน อภิมหาทุจริตเชิงนโยบาย

โอ๊ะ โอ โอ้ โอ๊ะ โอว ......ดูซิ ลูก เป็นโจร ......ดูซิ ลูก เป็นโจร บางคนมีสี.ที่ไร้ ศักดิ์ศรี เอา ยศ ไปคืนถึงบ้าน
ผอง เรา น้อง พี่ ประชาชี ขื่นขม ฤดี ชอกช้ำเหลือแสน

ข้าง คน ปาก หมะ ข้าง คน ปาก หมะ ..หน้า ที่ว่า อัปลักษณ์ ปาก อัปลักษณ์ มากกว่า

วัน..วัน กู ด่า ไม่ เว้น วัน..วัน กู ด่า ไม่ เว้น .. เช่น ด่าไอ้ หัวเถิก อีก เจ้า ฟันดำ หน้าแหลม แม่ง..มัน จ้อง กัดกู งี้หรือ ที่ผู้มีอำนาจเขา ใช้คำกัน

แม้ อ้ายกู จะ ลองทำ ชิม แม้ อ้ายกู จะ ลองทำ ชิม อ้าย กู ก็ ยัง ด่า ..ไป บ่นไป

วัน วัน ก็ คิด อภิมหา โปรเจ็ค วัน วัน ก็ คิด อภิมหา โปรเจ็ค ไม่ต้อง ดูดำ ดูดี เสียงประชาชี จะหะหว่า ว่า ยังงัย

ระบบนิเวศน์ ชีวิต ปลา ปู ระบบนิเวศน์ ชีวิต ปลา ปู หมา หมู

สงสาร ก็ แผ่นดินพระมหาฯ สงสาร ก็ แผ่นดินพระมหาฯ พลอย เสื่อม ราคา ก็เพราะ ขี้ครอก

จาก บท แห่ง " โลกาภิวัตน์ โลกาพินาศ " บทที่ 1

จาก “พุทธทำนาย” ซึ่งถอดความจากศิลาจารึก เชตวันมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย กล่าวว่า " ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ "

ในศิลาจารึก นั้นยังบันทึก อีกว่า " คนในสมัยนั้น ( คือปัจจุบัน ) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฏธรรมชาติไม่พ้น

เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบมาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ

ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิราชโพธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5.000 พระวรรษา

จาก
กวี ปากมีสี

บริบ่นรำพรรณ ๑๑

4 ปี - 12 คดี ของลูกๆ "อยู่บำรุง"


อยากให้อ่านข้อมูลเก่าๆ ช่วงปี 2544 ที่ศูนย์ข้อมูล “มติชน” รวบรวมสถิติไว้ได้ถึง 12ครั้ง ต่อไปนี้คือเหตุการณ์ที่ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิมทั้ง 3 คน เข้าไปพัวพันในช่วงเวลา นับจากปี 2540 ถึงปี 2544 ทำสถิติ’4ปี-12คดี’ ซึ่งขณะนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ครับ

*1) วันที่ 12 เมษายน 2540 เวลา 02.00 น.เศษ
ร.ต.ต.วันเฉลิม ซึ่งติดตาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ไปตรวจราชการที่ จ.ภูเก็ต และได้ไปเที่ยวเอเลี่ยนผับ กับพรรคพวกกลุ่มใหญ่ แล้วก็สร้างวีรกรรมมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นเจ้าของพื้นที่ ปรากฏว่ามีคนถูกยิง 2 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ร.ต.ต.วันเฉลิมตกเป็นหนึ่งในจำเลยในเหตุการณ์นั้นด้วย

2) วันที่ 27 มีนาคม 2541 เวลา 01.45 น. (อีก16 วันครบ 1 ปี)
ร.ต.ต.วันเฉลิม กับพวก ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทะเลาะกับ กลุ่มวัยรุ่นของ น.ส.กาญจนา นุ่มน้ำมูล แฟนสาวของลูกชายนายสิทธิพร ขำอาจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายวินัย หรือปาน แซ่ตั้ง หัวคะแนนนายสิทธิพร ที่ฟิวเจอร์ผับ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค แต่เนื่องจากไม่มีพยานยืนยันว่า ร.ต.ต.วันเฉลิมร่วมลงมือ เมื่อเดือนกันยายน 2541 อัยการก็เลยสั่งไม่ฟ้อง

3) วันที่ 1 สิงหาคม 2541 เวลา 23.00 น. (4 เดือน 4 วัน)
ร.ต.ต.วันเฉลิมเจ้าเก่า ก็ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย นายอัครเดช สุขรังสรรค์ บุตรชายนายประสาน สุขรังสรรค์ อดีตรองอธิบดีกรมการปกครอง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในงานเลี้ยงของนายอัครเดช ที่ฉลองการจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ “ทอรัสผับ”

4) วันที่ 1 ตุลาคม 2541 เวลา 01.30 น. (2 เดือน)
เป็นคิวของพี่ชายคนโต เมื่อ ร.ต.ต.อาจหาญถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย น.ส.ปทิตตา พรรณโอรส นักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ(เอแบค) อดีตแฟนสาวที่นาซีซัสผับ

5) ย่างสู่ปี 2542
ร.ต.ต.อาจหาญ และ ร.ต.ต.วันเฉลิม ตกเป็นผู้ต้องหาอีก โดย 2 ศรีพี่น้องก็เจอข้อหาใช้ใบเกณฑ์ทหาร หรือ สด.43 ปลอม สมัครเข้ารับราชการตำรวจ ครั้นพอมาวันที่ 2 มีนาคม 2542 ทั้งสองประกาศขอลาออกจากราชการ แต่หลังจากนั้นอีกเพียง 2 วัน คือวันที่ 4 มีนาคม 2542 สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่อนุมัติให้ลาออก แต่มีคำสั่งให้ ร.ต.ต.อาจหาญ และ ร.ต.ต.วันเฉลิม ออกจากราชการแทน พร้อมกันนั้นยังดำเนินคดีอาญา ฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม คดียังคงค้างคาอยู่จนถึงทุกวันนี้

6) วันที่ 29 พฤษภาคม 2542
ร.ต.ต.วันเฉลิมตกเป็นผู้ต้องหาอีก คราวนี้ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกาย น.ส.สวิดา อึงศรีสวัสดิ์ อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค) ในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นที่โรงแรมรอยัลการ์เด้นท์ซีวิว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่ สภ.อ.บางละมุง

7) วันที่ 11 กรกฎาคม 2542 เวลา 01.30 น. ( 1 เดือน 13 วัน )
กลุ่มของลูกของ ร.ต.อ.เฉลิมก่อเหตุอีก คราวนี้ไปทะเลาะวิวาทกันในผับ “เรดบาร์” ย่านอาร์ซีเอ เขตห้วยขวาง กทม. คราวนี้ฉาวโฉ่ขึ้นเป็นสองเท่า เพราะเมื่อนักข่าวและช่างภาพไทยรัฐไปทำข่าว ร.ต.ต.วันเฉลิมกับพรรคพวกได้พากันยื้อแย่งเอากล้องและฟิล์มไป รวมทั้งแสดงอาการคุกคามด้วยการทุบรถของนักข่าวด้วย เลยถูกกองบรรณาธิการไทยรัฐแจ้งความดำเนินคดี ขณะที่สมาคมนักข่าวฯออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมดังกล่าว แต่ที่สุด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้พ่อ ต้องแสดงบททำเพื่อลูกด้วยการรุดไปขอขมานักข่าวและช่างภาพถึงโรงพิมพ์ไทยรัฐ และขอไม่ให้เอาความ

8) วันที่ 26 กรกฎาคม 2542 (15 วัน )
ถึงคิวน้องคนสุดท้อง นายดวงเฉลิม ที่ขณะนั้นยังเรียนหนังสืออยู่ พาพวกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเที่ยว ที่หน้า “สปาร์คผับ” ชั้นใต้ดิน โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาฯ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด แต่โชคดีไม่มีพยานใดกล้ายืนยันหรือมาให้ปากคำซัดทอดถึง นายดวงเฉลิมเลยรอดตัวไป

9) วันที่ 26 กันยายน 2542 เวลา 03.15 น. ( 2 เดือน เป๊ะ)
นายดวงเฉลิมก่อเรื่องอีก คราวนี้ควบรถเก๋งกับเพื่อน 4-5 คน ไปกดออดที่บ้านของ น.ส.ภัทรวลัย อนันตศิริภัทร อายุ 21 ปี เพื่อนสาวที่ซอยศูนย์วิจัย 4 ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ ห้วยขวาง เพื่อขอพบ น.ส.ภัทรวลัย ซึ่งเคยสนิทสนมก ันมาก่อน แต่ปรากฏว่า น.ส.ภัทรวลัยไม่อยู่บ้าน นายดวงเฉลิมเข้าใจว่าสาวเจ้าหลบหน้า เลยอาละวาดกวาดกระถางต้นไม้วางอยู่ริมรั้วตกแตกเสียหาย แม่ของฝ่ายหญิงต้องโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพราะกลัวนายดวงเฉลิมจะทำอะไรมากกว่านั้ น ร้อนถึงผู้เป็นพ่อ ร.ต.อ.เฉลิมอีกตามเคย ต้องโทรศัพท์มาเคลียร์ขอไม่ให้เอาเรื่องเด็ก

10) ย่างสู่ปี 2543 วันที่ 26 มกราคม 2543 ( 4 เดือน เป๊ะ)
ร.ต.ต.วันเฉลิมกับพวกก่อเหตุอีก ด้วยการไปรุมทำร้าย นายเสริมชัย วัฒนเสนีย์ธรรม ลูกชายเจ้าของโรงแรมเรสซิเดนท์ เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ เหตุเกิดที่ “บริท 99 คลับ” ภายในสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จนบาดเจ็บสาหัส หลังจากเขม่นกันเรื่องสาว หลังเกิดเหตุคราวนั้น ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่า ต่อไปนี้จะสั่งห้ามลูกชายเที่ยวผ ับและมีเรื่องอีกเด็ดขาด เพราะลูกชายทั้ง 2 คน จะเตรียมตัวลงสมัคร ส.ส. มีเรื่องอื้อฉาวอะไรเกิดขึ้นอีกเดี๋ยวประชาชนจะไม่ยอมรับ สุดท้ายคดีศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2544 เนื่องจากหลักฐานฝ่ายโจทก์อ่อน หลังจากนั้นมา เรื่องของลูกชายเลยซาๆ ลงไป

เนื่องจาก ร.ต.ต.อาจหาญ และ ร.ต.ต.วันเฉลิม สร้างภาพใหม่ด้วยการลงพื้นที่หาเสียงในเขตฝั่งธนฯ อย่างไรก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าเกิดข่าวลือที่แพร่ไปตามเว็บไซต์ต่างๆ ว่า ลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิมต้องเดินทางไกลเพื่อไปคุมประพฤติอย่างกะทันหัน เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่สนุกสนานที่สุดในปีนี้ แม้ ร.ต.อ.เฉลิมจะออกมาชี้แจงทั้งโดยตรงและโดยอ้อมว่า ไม่จริงว่าที่ลูกชายหายไป เพราะ 2 คนแรก คือ ร.ต.ต.อาจหาญ และ ร.ต.ต.วันเฉลิม กำลังเก็บตัวเพื่อลง ส.ส. ขณะที่นายดวงเฉลิมอยู่ระหว่าง
การเรียนปริญญาโทอย่างคร่ำเคร่ง กระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่สามารถขจัด “ข่าวลือ” ที่ว่านั้นไปได้

11) จนเมื่อ 12 ตุลาคม 2543 ( 8 เดือน 17 วัน )
นายดวงเฉลิมก็ก่อเหตุทะเลาะวิวาทอีกครั้งกับนักศึกษาเอแบค ที่ “คาเฟ่เรคคอร์ด” ซึ่งคราวนี้ดูจะอื้อฉาวกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นพ่อกระโดดเข้าร่วมวงถล่มตำรวจ ด้วยการยืนด่ากราดตำรวจ สน.ทองหล่อ และนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ เป็นการร่วมวงด้วยอาการ “เบรกแตก” เลยพลอยตกเป็นจำเลยไปกับลูก ฐานหมิ่นประมาทตำรวจ และเป็นจำเลยสังคมฐานเกรี้ยวกราด หยาบคายเกินเหตุ ช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี 2544 ไม่มีข่าวฉาวของบรรดาบุตรชายสุดที่รักของ ร.ต.อ.เฉลิมเลย เพราะ ร.ต.ต.อาจหาญ กับ ร.ต.ต.วันเฉลิม ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. หลังการเลือกตั้งแม้ทั้งสองจะไม่ได้รับเลือก แต่ ร.ต.ต.วันเฉลิมก็ได้รับการแต่งตั้งให้เ ป็นที่ปรึกษา นายบุญชง วีสมหมาย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ในเดือนเมษายน

ส่วนนายดวงเฉลิมได้บวชเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2544 โดยมี “ลุงจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สะพายบาตรนำส่งเข้าโบสถ์ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน พล.อ.ชวลิตก็ได้ลงนามอนุมัติให้นายดวงเฉลิมเข้าเป็นนายทหารสังกัดสำนักงานเลข า นุการ รมว.กลาโหม ของ พล.ต.ศรชัย มนตริวัต เลขานุการ รมว.กลาโหม

และในวันที่ 8 มิถุนายน ก็ได้รับการประดับยศ “ร้อยตรี” จากมือของ พล.อ.ชวลิต ร.ต.ดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2544 หลังจากที่ได้ทำงานในกระทรวงกลาโหมว่า เดี๋ยวนี้กลางคืนไม่ได้ไปเที่ยวไหนแล้ว ประมาณสี่ทุ่มต้องเข้านอน ไม่อย่างนั้นจะตื่นไปทำงานเช้าไม่ไหว

12) วัน ที่ 29 ตุลาคม 2544 เวลา 01.30 น. ( 1 ปี 17 วัน )
ร.ต.ดวงเฉลิมก่อเหตุยิง ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ ตำรวจกองปราบปราม ตายใน “ทเวนตี้ผับ” โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก และถูกออกหมายจับในวันเดียวกัน เป็นคดีล่าสุดที่ถือว่า “ร้ายแรง” ที่สุดนับตั้งแต่ 3 ศรีพี่น้องตระกูล “อยู่บำรุง” ก่อขึ้นมา
ในวันนี้.. คงต้องไถ่ถามกันอีกครั้งว่า คนในสังคมบ้านเมืองนี้มีความคิดเห็นอย่างไร ในพฤติกรรมตระกูลดังหล่าวที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้สร้างวีรกรรมต่างๆ ให้สังคมได้ปวดเศียรเวียนเกล้ามาโดยตลอด..
คีย์แมนสำคัญ คือ "สุดยอดพ่อ" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่นเอง!!

**จากเมลฟอร์เวิร์ด**

บริบ่นรำพรรณ ๑๐

บ้านเมือง ของเรา...ถูกข่มขืน สุดโหด ???



● วันนี้ ได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ฉบับวันพฤหัสที่ 1 พ.ค. นี้ ว่า โจรก่อการร้ายภาคใต้วางเพลิงตู้โทรศัพท์สาธารณะ และวางกับดักระเบิดรถสายตรวจปัตตานี
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 30 เม.ย. พ.ต.ท.อาคม บัวทอง สวญ.สภ.โสร่ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี รับแจ้งมีเหตุระเบิดบนถนนสายโสร่ง-มายอ หมู่ 4 บ้านจาเราะสโต ต.เขาตูม อ.ยะรัง จึงรายงานให้ พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พ.ต.อ.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ พ.ต.อ.จีรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก. นำกำลังตำรวจ ทหาร และชุดเก็บกู้ระเบิด ไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุบริเวณกลางถนนพบหลุมระเบิดกว้าง 2 เมตร ลึก 2 เมตร มีสายไฟลากยาวเข้าไปในป่าลึกประมาณ 300 เมตร นอกจากนี้มีชิ้นส่วนถังดับเพลิงและสะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ ห่างไปประมาณ 80 เมตร พบซากรถปิกอัพสายตรวจ สภ.โสร่ง ทะเบียนตราโล่ 399 กระเด็นพลิกคว่ำพังยับเยิน ในซากรถมีตำรวจได้รับบาดเจ็บติดอยู่ 3 นาย ประกอบด้วย พ.ต.ต.ประพฤกษ์ อุไรรัตน์ อายุ 53 ปี สวป.สภ.โสร่ง ร.ต.ท.อดิศักดิ์ สันติพงศธร อายุ 37 ปี รอง สวป. ส.ต.อ.นิยาฮยา อับดุล อายุ 33 ปี โดยมีตำรวจอีก 3 นาย นอนหมดสติอยู่ห่างจากรถ ไปกว่า 30 เมตร ประกอบด้วย ด.ต.ลภ บุญรัตน์ อายุ 55 ปี ส.ต.ท.ฐานพัฒน์ ไชยรัตน์ อายุ 30 ปี และ ส.ต.ท.สายันต์ ยิ้มยก อายุ 28 ปี นอกจากนี้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บอีก 2 คน คือ นายมะสุกรี ยูโซ๊ะ อายุ 22 ปี และนายเปาซี สะมะกอฮอ อายุ 22 ปี ทั้งหมดถูกลำเลียงส่ง รพ.ศูนย์ยะลา แต่ปรากฏว่า ด.ต.ลภ ส.ต.ท.ฐานพัฒน์ และ ส.ต.ท.สายันต์ เสียชีวิตในเวลาต่อมา รวม 3 ศพ เนื่องจากถูกแรงระเบิดตามร่างกายมีแผลฉกรรจ์หลายแห่ง

อ่านแล้วเศร้า ไม่รู้เฮียเหลิมไปทำอะไรกันอยู่?? หรือยังกำลังฉลองคืนยศ ดวงลูกรัก อยู่ยังไม่สร่าง กับ ปู่หมัก กำลังคิดหาทางขึ้นราคาสินค้าอะไรกันอีก และเอาแต่พ่นน้ำลายแตกคอกันอยู่ที่ไหน?
......ทำอะไร กันเพลิน??

● แล้วก็เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ข่าวสดได้นำภาพที่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำความผิดต่อธงชาติหลายครั้ง ซึ่งคุณทักษิณก็ทราบดีอยู่แล้ว ซึ่งในวันดังกล่าวคุณทักษิณและลูกๆ นั่งอยู่ใกล้ๆ ธงชาติไทยที่มีข้อความไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หลังปรากฏเป็นข่าว พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยออกมาพูดว่าไม่เห็นด้วยกับกรณีดังกล่าว หรือ ว่ากล่าวตักเตือนบุคคลที่กระทำดังกล่าวเลย แต่คุณทักษิณกลับหัวเราะ ยิ้มแย้มด้วยความยินดี เมื่อเห็นคนนำธงชาติที่มีชื่อของตัวเองมาต้อนรับ

ล้วนแล้วคิดแต่เรื่องของ ตัวเอง และ ของทักษิณฯ กันอยู่ พี่ น้อง...ข้อบกพร่องคนอื่นว่าเป็นเรื่องน่าเกลีด น่าขยะแขยง แต่ความผิดของตัวเองและพวกพ้อง มันขี้ประติ๋ว

คำแก้ตัว ก็ คือ “ มันก็เป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ รัฐบาล คมช. แล้ว จะให พ้ม(Kru)ไปทัม อารายยยย ไป ยิงกับ อ้าย โจร มันหรือ"

ไหนจะ ข้าวของ เครื่องใช้ ประจำวัน ยอมให้ขึ้นราคาแหลกราน
“แต่ ค่าแรงขั้นต่ำ ของผู้ใช้แรงงาน กลับไม่ค่อยยอมให้ขึ้น แฮะ”

ลูกชายสุดรัก ทำความผิดอาญาโทษฐานฆ่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยใช้ ปาฏิหาริย์ เสกให้พ้นผิด และยังมีชนักติดหลัง ข้อหาหนีทหาร ติดต่อกันเกิน 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันควร ความผิดชัดแจ้ง ชั้นยศ ตำแหน่ง ของชาติ บ้านเมือง ก็ยังให้ทหาร เอายศกลับมาคืน ถึงบ้านได้ สถาบันทหารก็ยังยอมให้ข่มขืนอีก

สงสาร ชาติ บ้านเมือง ของ Kru ถูก พวก Muengs ข่มขืน สุดโหด รายวัน เสียแล้ว