วันอังคาร, กรกฎาคม 08, 2551

บ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ

*แม้ว่าสภาวะโลกร้อนจะเป็นวิกฤตการณ์ที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทุกวัน แต่เราทุกคนสามารถช่วยเหลือโลก เพื่อประหยัดพลังงานได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิถีการใช้ชีวิตประจำวัน วันนี้คู่บ้านมีไอเดียดี ๆ เกี่ยวกับการแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติมาฝากค่ะ

การแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาสภาวะโลกร้อนได้ สิ่งสำคัญควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในวิถีประจำวันที่ไม่ยากจนเกินไป แต่ก่อให้เกิดผลดีต่อโลกได้มากกว่าที่เราคาดคิด

ข้อแนะนำดี ๆ สำหรับบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนของห้องนอน เป็นห้องที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลามากที่สุดในแต่ละวัน จึงเป็นห้องที่มีปริมาณการใช้พลังงานสูงสุดภายในบ้าน วิธีง่าย ๆ ในการประหยัดพลังงาน ต้องเปิดและเครื่องปรับอากาศเท่าที่จำเป็น แนะนำให้ติดตั้งพัดลมติดเพดาน ซึ่งใช้ไฟน้อยกว่า เครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ ควรเปิดหน้าต่างทุกวัน เพื่อให้อากาศถ่ายเท กำจัดกลิ่นและมลพิษต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ภายในห้องได้

ห้องนอนที่ดี ควรตกแต่งให้มีบรรยากาศสบาย และผ่อนคลาย การเลือกใช้สีขาวทาผนัง ช่วยให้พื้นที่สว่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในห้อง

สำหรับห้องน้ำ ควรลดปริมาณการใช้น้ำ และเลือกใช้สุขภัณฑ์ที่มีระบบประหยัดน้ำ นอกจากนี้ การอาบน้ำโดยฝักบัวแทนการอาบในอ่างอาบน้ำ ก็ยังช่วยประหยัดน้ำได้เกือบถึง 10 เท่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาบ และไม่ควรลืมติดตั้งเครื่องเติมอากาศที่หัวฉีดฝักบัว เพราะจะยิ่งช่วยให้ประหยัดน้ำมากยิ่งขึ้น

เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ และไม่ควรลืมการนำน้ำจากการอาบไปใช้รดน้ำต้นไม้ในสวน เป็นการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

เราทุกคนควรหันมาใส่ใจกับ วิกฤตการณ์โลกร้อนกันอย่างจริงจังมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสะสมต่อเนื่อง มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม ช่วยกันประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อโลกของเรานะค่ะ

พบกับสาระดีๆ เกี่ยวกับบ้าน และการตกแต่งได้ดั่งใจในรายการคู่บ้าน ได้ในครั้งต่อไป สวัสดีค่ะ

บ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ 2

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา รายการคู่บ้านได้นำเสนอการแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ในสภาวะโลกร้อน ให้ได้ชมกันไปแล้ว หวังว่าคงเป็นที่ถูกใจไม่มากก็น้อย และในครั้งนี้คู่บ้านมีไอเดียเพิ่มเติมมาช่วยในการตกแต่งบ้านสไตล์อนุรักษ์ธรรมชาติมาฝากค่ะ

แม้ว่าสภาวะโลกร้อนจะเป็นวิกฤตการณ์ที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทุกวัน ปัจจุบันทุกคน ได้หันมาใส่ใจกับวิกฤตการณ์โลกร้อนกันอย่างจริงจังมากขึ้น การแต่งบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วยตัวคุณโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน

ข้อแนะนำดี ๆ สำหรับบ้านอนุรักษ์ธรรมชาติ ในส่วนของห้องนั่งเล่น หลักสำคัญของห้องนั่งเล่น คือ ต้องเป็นห้องที่ดูแลรักษาง่ายไม่มีสิ่งของเกะกะรุงรัง ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านซึ่งผลิตมาจากผ้าฝ้ายปลอดสารเคมี และสามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย

การเลือกพรมปูพื้น ควรใช้พรมผืนขนาดเล็ก ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้ง่าย สิ่งสำคัญควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้อยู่เสมอ

สำหรับห้องครัว วิธีที่ง่ายที่สุดในการช่วยลดปริมาณขยะ ลดการใช้พลังงานและปริมาณน้ำในห้องครัว คือการดูแลรักษาความสะอาดภายในครัวอย่างสม่ำเสมอ การหมั่นนำขยะสดออกไปทิ้งข้างนอกอยู่เป็นประจำ ช่วยทำให้ถังขยะแห้ง จึงไม่จำเป็นต้องซ้อนถุงขยะพลาสติกสีดำอีกใบ

การเลือกใช้เครื่องล้างจาน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานกว่าการล้างด้วยมือ แต่มีข้อแม้ว่าจะใช้ก็ต่อเมื่อมีจานที่ต้องการล้างวางไว้เต็มความจุของเครื่อง รวมทั้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างจานที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ

การเลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ทำควรประเภทอื่น ๆ ควรเลือกชนิดที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ การเลือกวิธีการปรุงและอุ่นอาหารโดยใช้เตาไมโครเวฟ เพราะเตาไมโครเวฟ ช่วยประหยัดไฟฟ้าและพลังงานมากกว่าเครื่องใช้ในการปรุงอาหารประเภทอื่น ๆ

การเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน การตากผ้าให้แห้งตามธรรมชาติแทนการใช้เครื่องอบ หรือการนำสิ่งเหลือใช้กลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ และการปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น เพียงวิธีง่าย ๆ เหล่านี้จะช่วยบรรเทาสภาวะโลกร้อนได้ค่ะ พบกับสาระดีๆ เกี่ยวกับบ้าน และการตกแต่งได้ดั่งใจในรายการคู่บ้าน ได้ในครั้งต่อไป สวัสดีค่ะ

Credit : คู่บ้าน ประจำวันที่ 22 กันยายน 2550

อวัยวะชิ้นที่ 33 ?

jenifaae



*ไม่ว่าจะในยุคมนุษย์ถ้ำ จนถึง ยุคโลกาภิวัฒน์ “การสื่อสาร” (Communication) เป็นสิ่งหนึ่งทีมีความสำคัญในชีวิตประจำวันมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่การใช้สัญญาณควันในการส่งข่าวสาร การเขียนข้อความใส่ขวดลอยตามน้ำเมื่อเรือแตกติดอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทร หรือการใช้นกพิราบช่วยการสื่อสารระหว่างกัน จนถึง ณ ขณะนี้ เราได้มีการสื่อสารผ่านดาวเทียมได้ไกลแสนไกล ทุกที่ ทุกเวลา ทั่วทุกมุมในโลกใบนี้ ที่สุดแสนไฮเทคในยุคนี้ ล้วนแล้วเป็น “การสื่อสาร” โดยทั้งสิ้น

ซึ่งเดี๋ยวนี้ การติดต่อสื่อสารระหว่างกัน กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว สำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบันของเรา ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนๆ หรือหันไปทางไหน เราจะเห็นคนกำลังคุยกันทางโทรศัพท์ ทั่วทุกหัวระแหง ทุกผู้ ทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเวลา ก็ว่าได้

และเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่โลกเราได้มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน จะว่าไปทำให้การติดต่อสื่อสารก็กลายเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายและรวดเร็ว และที่สำคัญ ราคาเครื่องถูกลงอย่างมาก หรือถ้าจะให้ถูกกว่านี้ ก็สามารถซื้อเครื่องมือสอง มือสาม หรือมือสี่ ก็ยังได้ เรื่องราคาเครื่องจึงไม่ใช่ข้อจำกัดการมีโทรศัพท์เสียแล้ว และที่สำคัญมากกว่าไปกว่านั้น อัตราค่าโทร.ก็ถูกลง แถม มี Promotion ลดแหลก แจก แถม อย่างถล่มทลายกันหลายเจ้า ต่างจากสมัยก่อน ที่รัฐบาลยังบริหารกิจการโทรศัพท์อย่างลิบลับ จะขอสายโทรศัพท์เข้าบ้านซักเบอร์หนึ่ง ขอกันสาม ปี สีปี หากอยากได้มากเข้า ก็ต้องลงทุน ซื้อเบอร์จาก คนอื่น ต้องจ่ายเงิน ประมาณ สาม หรือสี่หมื่นบาท บางบ้านขอไป ก็ไม่ได้ก็มี ต้องไปยืนหยอดตู้ ต่อคิวกันให้ยุงกัด

*ซึ่งก่อนที่จะถึงยุคโทรศัพท์ ก่อนหน้านี้ “เพจเจอร์” หรือ วิทยุติดตามตัว ได้เข้ามาทำให้พวกเราได้ฮือฮากันครั้งกระโน้น ด้วยการส่งข้อความหากันดัง “ปิ๊บ ปิ๊บ ปี๊ป” กันทั้งเมือง ไปทางไหน ก็ จะเห็น เพจเจอร์เหน็บเอวกันเป็นแถว แต่พอมาถึงยุคนี้ สมัยนี้ก็ต้อง เป็นโทรศัพท์มือถือนี่แหละ มาแรงแซงทางโค้ง ไม่ว่าจะอาชีพใด อายุใด เป็นต้องมีถือติดตัวให้โก้กันไปหมด ตั้งแต่ราคาแพงหูฉี่ จนมาถึงราคาไม่ถึงพัน ก็พอใช้ได้ ส่วนค่าบริการก็ยังมีให้เลือกหลายโปรโมชั่น ให้เหมาะกับนิสัยการใช้งาน ในบ้านเราก็มีแก่งแย่งแข่งขันกันอยู่ 3-4 ระบบ


เด็กตัวเล็กตัวน้อย พ่อแม่ยังต้องหาโทรศัพท์มือถือให้ติดตัวกัน อ้างว่า “ติดตัวไว้ใช้ อุ่นใจค่ะ” กันทั้งสิ้น ลูกเด็กเล็กแดงเกิดมา ก็ “ฮัลโหล” กันเป็นแล้ว กดเบอร์เองได้อีกด้วย

นึกถึงครั้งใดที่ลืมโทรศัพท์มือถือ แทบอยากจะตีรถกลับไปเอาซะจริงๆ ก็มันอึดอัดนะ เพื่อนฝูง การงานติดต่อเราไม่ได้ ไอ้ครั้นจะโทรไปหาเอง ก็จำเบอร์ไม่ได้แล้ว ก็จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเดี๋ยวนี้ เราฝากชีวิตความทรงจำไว้กับเจ้าโทรศัพท์ไปแล้ว เลยทำให้ต่อมความจำ การรับรู้ของเรา มันหดหายไปหมดสิ้น แม้กระทั่งวันเกิดเพื่อนสนิท ที่สมัยอดีต ไม่ต้องมีเสียงเตือน ก็จำได้ไม่มีลืม แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ใส่ความจำส่วนนี้ไว้ในโทรศัพท์ พร้อมทั้งให้เตือนในวันที่สำคัญ เราก็ลืมมันไปสนิท เอาเป็นว่า ถ้าโทรศัพท์หาย ขอซิมใหม่ เบอร์เดิม ยังแทบจะไร้ค่าเลย

ดังนั้น ณ บัดเดี๋ยวนี้ โทรศัพท์มือถือ ได้กลายมาเป้นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง ซะแล้ว หรือ ใคร ว่าไม่จริง...??

ส้วมทองคำ

*ฮ่องกงมีการสร้างส้วมทองคำ โดยส้วมนี้ ทำด้วยทองคำแท้ 24 กะรัต สุกอร่ามไปทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถส้วม อ่างล้างมือ แปรงขัดส้วม ที่แขวนกระดาษทิชชู กรอบกระจก โคมไฟแชนเดอเลีย ฯลฯ


ห้องสุขาทองคำที่ว่านี้ เปิดให้ชมมาตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.2001 โน่น ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังอยู่ดีหรือเปล่าเป็นห้องส้วมที่จัดสร้างขึ้นในร้านจิวเวลรี่ชื่อ 3D-Gold ในฮ่องกง ของนายลัม ไซ-วิง หนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่วัย 45ปี ที่อพยพเข้าไปอยู่ในฮ่องกงตั้งแต่อายุ 22 และทำมาค้าขายเกี่ยวเรื่องเพชรๆ พลอยๆ ของสวยงามจนกระทั่งตั้งร้านจิวเวลรี่ของตัวเองได้สำเร็จร่ำรวยสมปรารถนา


ส้วมทองคำแห่งนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างอื้ออึง เพราะทำด้วยทองคำแท้ 24 กะรัต สุกอร่ามไปทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถส้วม อ่างล้างมือ แปรงขัดส้วม ที่แขวนกระดาษทิชชู กรอบกระจก โคมไฟแชนเดอเลีย แม้กระทั่งเพดาน ผนังห้อง พื้นกระเบื้อง และบานประตูก็ปูและกรุด้วยทองคำแท้ๆ เฉพาะเพดานส้วมนั้นยังฝังเพชรพลอยจำพวก ทับทิบ ไพลิน มรกต และอำพัน ส่องประกายมลังเมลือง จำนวนถึง 6,200 เม็ด

ที่มา :www.sheza.com

แมวมีปีกเหมือนนก

*หญิงชราชาวจีนอ้างว่า แมวเหมียวที่แกเลี้ยงไว้ เกิดปรากฏการณ์ผิดปกติเหลือเชื่อเหนือธรรมชาติ...จู่ๆก็มี “ปีก” สองอันงอกออกมายาวเฟื้อย!?


สำนักข่าวฮั้วซ่างนิวส์รายงานว่า แมวเพศผู้ สัตว์เลี้ยงแสนรักสุดเลิฟของ นางเฟิง ราษฎรเมืองเสี้ยนหยาง มณฑลส้านสี สาธารณรัฐประชาชนจีน เติบโตตามลำดับเหมือนวิฬาร์ทั้งหลาย กระทั่งย่างสู่ วัยหนุ่มฉกรรจ์หน้าตาหล่อเหลาบ้องแบ๊ว



จึงมีบรรดาแมวสาวส่งสายตาปิ๊งๆ ทอดสะพาน คอนกรีตเสริมเหล็ก เชิญชวนยวนยั่วขอร่วมเสพสมเพิ่มผลิตผลประชาชนแมว จรรโลงสัตว์โลกสายพันธุ์ วิฬาร์ให้คงอยู่คู่โลกา

แต่แปลกประหลาดแฮะ ไอ้เหมียวไม่ยักสนใจแมวสาวๆ แถมสำแดงอาการโกรธเกรี้ยวขนลุกชูชัน ส่งเสียงเมี้ยวม้าวลั่น ขับไล่แมวตัวเมียกระเจิง ครั้นโดนตามตื๊อหนักเข้า...ก็ปรากฏปุ่มตะโหงกสองก้อน งอกขึ้นมาบริเวณหัวไหล่ ปุ่มดังกล่าวเจริญเติบโตยาวเฟื้อยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขนยาวสี่นิ้วปกคลุม เวลาผ่านพ้นเดือนเดียวก็แน่ชัดนั่นคือ ปีก ภายในมีกระดูกรองรับ เพียงแต่ไม่อาจบินได้เท่านั้นเอง... มันเหมือนเทพบุตรวิฬาร์เชียวหละ” อาม่าเฟิงจินตนาการ


ด้านสัตวแพทย์บอกมิมีอะไรบนกอไผ่ นอกจากหน่วยพันธุกรรมในโครโมโซมหรือยีน (gene) ผิดปกติ แต่ไม่ส่งผลร้ายใดๆต่อการดำรงชีวิตเจ้าเหมียว


ที่มา : http://www.sheza.com

ขั้นตอนการสร้างบ้านดิน



ขั้นตอนในการก่อสร้างบ้านดิน อาจจะแตกต่างจากการก่อสร้างบ้านทั่วไป เนื่องจากบ้านดินไม่มีระบบโครงสร้าง บ้านดินใช้กำแพงรับน้ำหนัก เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างกระชับ ทำได้รวดเร็ว การดำเนินการก่อสร้างบ้านดินมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน
พื้นที่สำหรับทำบ้านดิน ควรเป็นพื้นที่ ที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่ใช่ทางน้ำไหลบ่า หากเป็นพื้นที่ถมดินใหม่ควรถมทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี หรือผ่านช่วงฤดูฝนสัก 1 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 2 การทำอิฐดิน
การทำอิฐดินสำหรับผู้ที่ออกแรงเป็นประจำจะทำอิฐดินได้วันละ 70 - 100 ก้อน
การตากอิฐดินใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน เมื่อตากอิฐได้ประมาณ 2-3 วันให้พลิกอิฐขึ้นตั้งทางด้านแนวนอน และทำการแต่งก้อนอิฐในช่วงเวลานี้ จะมีฝุ่นกระจายออกมาน้อย เมื่ออิฐแห้งสนิทดีแล้วควรนำอิฐมากองรวมกันไว้กลางบ้าน เพื่อสะดวกและก่อกำแพงได้รวดเร็ว การขนย้ายควรทำเพียงครั้งเดียว จากบริเวณตากอิฐมาที่กลางบ้าน

ขั้นตอนที่ 3 การทำรากฐานบ้าน
การทำรากฐานบ้านดิน ควรทำรากฐานให้เสร็จและถมดินให้เรียบร้อยก่อนขนย้ายอิฐดินขึ้นมากองไว้กลางบ้าน

ขั้นตอนที่ 4 การก่อกำแพงบ้าน
หลังจากที่นำอิฐดินมากองไว้กลางบ้านเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกของการก่อกำแพงบ้านจะเร็ว หากก่อขึ้นสูง การทำงานอาจจะช้าลงเพราะต้องส่งอิฐดินขึ้นสูง ช่วงนี้อาจติดตั้งวงกบประตูหน้าต่างได้ หรืออาจจะเว้นช่องเอาไว้ติดตั้งในช่วงฉาบ แรงงาน 3 คนสามารถก่ออิฐดินได้วันละ 300 - 500 ก้อน

ขั้นตอนที่ 5 การขุดบ่อส้วม
ในระหว่างที่ดำเนินการก่อกำแพงบ้าน หากช่วงเย็น วัสดุที่เตรียมไว้สำหรับก่อหมดอาจใช้ช่วงเวลานั้นขุดบ่อส้วมได้ หรืออาจจะขุดหลังจากที่ก่อกำแพงเสร็จ

ขั้นตอนที่ 6 การเดินระบบไฟฟ้า ท่อน้ำดี ท่อน้ำเสีย
ก่อนฉาบบ้าน ควรดินท่อน้ำดี น้ำเสีย ท่อส้วมให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลา เจาะกำแพงหลังจากที่ฉาบเสร็จ

ขั้นตอนที่ 7 ฉาบกำแพงบ้าน
การฉาบกำแพงบ้าน ควรฉาบก่อนที่จะขึ้นโครงสร้างหลังคา เพราะหลังจากที่ฉาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้กำแพงบ้านมีความแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยให้แดดส่องกำแพงบ้านได้เต็มที่ ช่วยให้ดินที่ฉาบแห้งเร็ว

ขั้นตอนที่ 8 ทำโครงสร้างหลังคา
โครงสร้างหลังคา จะมีส่วนที่เชื่อมโยงกับกำแพงบ้าน อาจจะทำโครงสร้างหลังคาไปพร้อมกับงานฉาบได้ หลังจากที่วางอะเส ของโครงสร้างหลังคาเสร็จแล้ว อาจใช้ดินผสมฟางฉาบปิดอะเส เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

ขั้นตอนที่ 9 มุงหลังคา
การมุงหลังคาบ้าน ควรมุงหลังจากกำแพงบ้านแห้งสนิทดีแล้ว จะช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น

ขั้นตอนที่ 10 ทำเพดานบ้าน
หลังจากมุงหลังคาบ้านเสร็จสิ้น ดำเนินการทำโครงสร้างเพดานและติดตั้งเพดานให้เสร็จสิ้น รวมทั้งทาสีเรียบให้เรียบร้อย จะช่วยให้ไม่ต้องย้ายนั่งร้านหลายครั้ง

ขั้นตอนที่ 11 ฉาบสี
หลังจากทำเพดานบ้านเสร็จสิ้น เริ่มต้นทาสีกำแพงบ้าน ควรเริ่มด้านในบ้านก่อน เพราะภายในบ้าน จะได้รับแสงแดดน้อย และอากาศทายเทได้ไม่ดีเท่าบริเวณนอกบ้าน จะทำให้สีแห้งช้า เมื่อฉาบสีด้านในบ้านเสร็จเรียบร้อย อาจจะเก็บรายละเอียดบริเวณขอบประตูหน้าต่างอีกครั้งแล้วทำการฉาบสีพื้นบ้านหรือปูกระเบื้องหากต้องการ

ขั้นตอนที่ 12 เทพื้น
การเทพื้น หากเป็นพื้นดิน อาจจะเทพื้นทิ้งไว้หลังจากฉาบกำแพงบ้านเรียบร้อยแล้ว เพราะพื้นดินจะใช้เวลานานกว่าที่จะแห้งสนิท อาจใช้เวลาอย่างน้อย 1 อาทิตย์ หากยังไม่ได้มุงหลังคาจะช่วยให้พื้นแห้งไวขึ้น หากเป็นพื้นปูนสามารถเทหลังจากที่ทาสีบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้ไม่ต้องจัดการกับสีที่ฉาบและร่วงลงมามากนัก

ขั้นตอนที่ 13 ติดตั้งบานประตู หน้าต่าง
หลังจากฉาบสีและเทพื้น เสร็จสิ้นแล้ว ทำการติดประตูหน้าต่างและทาสี ควรหากระดาษหรือผ้ายางรองพื้นกันสีตกลงพื้น

ขั้นตอนที่ 14 ติดตั้งหลอดไฟ ติดตั้งสุขภัณฑ์
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการ ติดตั้งระบบไฟฟ้า ก๊อกน้ำ ชักโครก


เอก สล่าเอื้องจัน
20 มกราคม 2550



ขอขอบคุณ
ที่มา : บ้านดิน.คอม
รูป : บ้านดิน.org

การศึกษาคือปัญหาของสังคม

มติชนออนไลน์ - วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11012

โดย บุณย์เสนอ ตรีวิเศรษฐ์ bunsanoe-@hotmail.com มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

*มีการนิยามความหมายของการศึกษาไว้มากมาย เช่น การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม คือกระบวนการกำจัดอวิชาสำหรับมนุษย์ การนำความกระจ่างสู่จิตและทำให้เกิดปัญญาคือการสร้างสมและถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ของมนุษย์เพื่อการแก้ปัญหาและยังให้เกิดความเจริญ เป็นกระบวนการพัฒนาบุคคลทั้งในด้านจิตใจ นิสัย และคุณสมบัติอย่างอื่นๆ เป็นเครื่องมือสำคัญของรับในการสร้างความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพลเมือง

และนิยามสำคัญที่กล่าวว่า การศึกษา คือรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม

จากการเฝ้าสังเกต ความเป็นไปของการศึกษาไทยมากว่าทศวรรษ อาจกล่าวได้ว่าภาพที่เป็นจริงกับนิยามของการศึกษา มักเดินสวนทางกันตลอดมา ราวกับว่าการให้นิยามเป็นเพียงความนึกฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง

ภาพสะท้อนของการศึกษาไทยในปัจจุบัน ยิ่งทำให้เห็นว่าการศึกษาไม่อาจเป็นกระบวนการพัฒนามนุษย์สู่ความเจริญงอกงามและสมดุลได้จริง ทั้งนี้ เพราะเนื้อตัวของการศึกษาเองก็มีปัญหาค่อนข้างมาก

การที่กล่าวว่า การศึกษาเป็นรากฐานในการสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคม จึงเป็นเพียงหลักการ แต่ไม่อาจนำมาใช้แก้ไขปัญหาสังคมได้จริง

กล่าวอีกที การศึกษานั่นเองที่เป็นตัวบ่มเพาะปัญหาให้แก่สังคมมากขึ้นๆ ทุกที

การกล่าวเช่นนี้ บางคนอาจมองว่าเป็นการมองโลกในทางร้าย แต่ถ้าพิเคราะห์ให้ดีผลสะท้อนจากการศึกษา ก็มักปรากฏออกมาในทาง ที่เป็นปัญหาจริงๆ

โดยจะขอไล่เรียงอธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้

1.การศึกษาสร้างปัญหาให้ผู้ปกครอง จริงหรือไม่ว่า นับวันระบบการศึกษายิ่งสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวแก่ผู้ปกครองมากขึ้น

ปรากฏการณ์การรับนักเรียนเข้าเรียน ม.1 ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นปัญหาของระบบการศึกษาได้ดี

เราจะเห็นความโกลาหลของผู้ปกครอง ที่อยู่ในอาการหวั่นวิตกว่าบุตรหลานของตนนั้นจะสามารถฝ่าข้ามเส้นแบ่งระหว่างคำว่า ได้ กับ ตก หรือไม่

เมื่อผลสอบ หรือผลการเสี่ยงดวงออกมา จึงมีคนส่วนน้อยที่สมหวัง แต่คนส่วนใหญ่ผิดหวัง

สำหรับผู้ที่พลาดหวัง เมื่อต้องอยู่ในฐานะของผู้แพ้ แม้การที่ต้องตกอยู่ในฐานะดังกล่าว อาจไม่ใช่ความผิดอะไร และไม่ใช่ความต่ำต้อยของสติปัญญาเด็ก แต่มาจากความไร้ปัจจัย (เงิน) ที่ทำให้เข้าไปไม่ถึงโอกาสในการฝึกฝนตนเองก่อนเข้าสู่สนามแข่งขันที่เคร่งเครียดและปวดร้าว จริงหรือไม่

ผู้ที่คว้าชัยโดยมากที่สามารถปีนป่ายเหยียบข้ามบ่าคนอื่นเพื่อไปยืน ณ จุดสูงสุดนั้น ก็คือ ผู้ที่ได้เข้าสู่กระบวนการท่องบ่นวิชาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ติวตั้งแต่เช้ายันค่ำ พร่ำบ่มเพาะการแข่งขันให้เด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล โดยที่ลืมคิดไปว่าจิตวิญญาณก็จำเป็นต้องใส่ลงไปในหัวเขาด้วยเหมือนกัน

เรามี พ.ร.บ.การศึกษาที่มีกลไกตรวจสอบประเมินคุณภาพให้สถานศึกษามีคุณภาพ และมาตรฐานเท่าเทียมกัน

ถามว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ การประเมินของ สมศ. ที่ผ่านไปแล้ว 2 รอบ อะไรคือมรรคผลที่ได้มา นอกจากทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองยิ่งไม่มั่นใจ ไม่เชื่อในระบบโรงเรียนมากขึ้น จึงหันมาพึ่งพาการติวเข้ม "เกมของคนเหนือคน" ถึงกับเชื่อว่า การติวเท่านั้นที่จะพาบุตรหลานของตนสู่ชัยชนะได้

และกระบวนการนี้คือภาพของความเลวร้ายในโลกที่ "มือใครยาสาวได้สาวเอา" อย่างถึงแก่น ใครมือสั้นก็ถูกเบียดให้ล้มลง และถูกเหยียบทับถมให้จมธรณีในที่สุด

2.การศึกษาสร้างปัญหาให้ผู้เรียนทุกระดับ ทุกๆ เดือนแรกมักได้ยินข่าวนักเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้อื่นล้มตาย นี่คือผลผลิตจากระบบการศึกษาที่บีบคั้นและเก็บกด เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ไม่อาจอดกลั้นต่อภาวะนั้นต่อไป การแสดงออกจึงรุนแรง และนำมาซึ่งความสูญเสียมากมาย

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ สังคมไทยกำลังก้าวก่ายไปบนถนนสายนี้

หลายครั้งที่มีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนที่ไม่พึงประสงค์ นักศึกษาฆ่าตัวเองเพราะไม่สมหวังจากการสอบ

ระบบติวเช้าติวเย็น โอยเอาวิชาเป็นตัวตั้ง ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีกมากมาย ทั้งการทุจริตการสอบที่ผู้ปกครองกลายเป็นจำเลยตัว เพราะอยากให้ลูกสอบได้

แม้กระทั่งนักศึกษาชั้นหัวกะทิของประเทศอีกหลายรายได้ใช้วิชาที่เรียนมาทำให้คนรักสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเกิดช่องระหว่างกัน

ยังไม่นับนักการเมืองผู้ทรงเกียรติในสภาหลายคนที่ได้ก่อเหตุสั่นสะเทือนวงการแม้จะพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ

นี่คือผลผลิตของการท่องบ่นวิชา เอาปริญญาเป็นตัวตั้ง และนับวันจะสร้างความทุกข์ระทมให้สังคมไทยเป็นทบทวี

3.การศึกษาสร้างปัญหาให้ ครู อาจารย์ ผู้บริหาร เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่บุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้น โดยสามารถพัฒนาผลงานก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น มีวิทยฐานะในระดับต่างๆ เช่น ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญพิเศษ ในเวลาปีที่ผ่านมา ทำให้ครู ผู้บริหารที่หมกมุ่นอยู่กับกระดาษได้รับการพิจารณาให้เลื่อนวิทยฐานะ ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ จำนวนมาก

แต่ที่น่าคิด ก็คือความรู้ความสามารถของนักเรียนไม่ได้ก้าวหน้าตามไปพร้อมด้วย

ปัญหาเด็กไทยที่จบ ป.6 อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดไม่เป็นนับวันจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น และยังไม่รู้ว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลงอย่างไร

อาจารย์ผู้สอนระดับอุดมศึกษาเอง เมื่อมีตัวชี้วัดจากการประเมินทั้ง กพร.,สมศ. ก็พอกระตุ้นให้อาจารย์มีตำแหน่งทางวิชาการเพิ่มปริมาณขึ้นบ้าง แต่เมื่อพิจารณาเนื้อในแล้ว ปริมาณองค์ความรู้ที่สร้างสรรค์ขึ้นกับจำนวนอาจารย์ที่มีอยู่ เกิดช่องว่างกว้างใหญ่

นั่นแสดงให้เห็นว่าอาจารย์ระดับอุดมศึกษาก็มีปัญหาในตนเอง คือเรียนจบสูง แต่เรียนรู้น้อย ขาดหัวจิตหัวใจ ขาดความทุ่มเทในภารกิจของตน

นี่คือผลสะท้อนหนึ่งในระบบการศึกษาไทย ที่คนชอบเรียนแค่จบกล่าวคือ เมื่อเรียนจบ ก็ไม่คิดอะไรต่อ เมื่อไม่เรียนรู้ ไม่ทำวิจัย ไม่พัฒนาศักยภาพคน ก็อ่อนแอ

เมื่อคนระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นขุมคลังทางปัญญาอ่อนแอ ก็ไม่สามารถเป็นปัญญาของสังคมได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะก้าวข้ามภูเขาแห่งปัญหาการศึกษาไทยที่หมักหมมมายาวนานเหล่านี้ได้อย่างไร

4.การศึกษาคือปัญหาขององค์กร คนในวงการศึกษามักให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่ภารกิจตน เช่น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารโดยการหลอมรวมโรงเรียนประถม/มัธยมให้อยู่ใต้เงาเดียวกัน คือ สพฐ. ก็เริ่มมีการดูหมิ่นดูแคลนกัน ครูมัธยมที่หลงตนว่าโดยสภาพที่ตั้งของโรงเรียนตนเองอยู่สูงกว่าครูประถม ทั้งที่ครูทั้งสองส่วนควรมีความเชื่อมโยงเอื้ออาทรต่อกัน เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรมาชี้ว่า ครูมัธยมดีกว่า หรือเก่งกว่าครูประถมมีการรวมกลุ่มเพื่อยื่นหนังสือขอแยกทางกันในการจัดการศึกษา โดยอ้างเหตุผลว่า การอยู่ร่วมกันทำให้คุณภาพมัธยมตกต่ำ

นี่คือปัญหาระดับวิธีคิด สังคมไทยอ่อนแอเพราะความนึกคิดที่แบ่งแยกใช่หรือไม่ เมื่อใดที่เราคิดว่า เราดีกว่าคนอื่น ก็เกิดความรู้สึกเหยียดหยันเขาไปในตัว

ปัญหานี้จึงไม่ใช่ว่าใครดีกว่าใคร แต่เป็นเรื่องอื่น อาจเป็นเรื่องกิเลสภายใน ที่มักแสดงออกมาเมื่อจะต้องสูญเสียในสิ่งที่ตนเคยได้รับ บางทีคนชั้นครูอาจต้องเสียสละส่วนตนเพื่อให้ส่วนรวมได้ประโยชน์ เพราะเราไม่อาจเป็น "ผู้ได้" ไปตลอดกาล

เมื่อครูยังมีความคิดที่แบ่งแยกอย่างนี้ ความสมานฉันท์ที่เราต่างพากันเรียกหา จะเป็นจริงได้อย่างไร

5.การศึกษาคือปัญหาของสังคม ปัจจุบันมีคนไทยสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างสติปัญญากับปัญญาของคนไทยต่ำลงไปมาก มันคงเป็นผลผลิตจากระบบการศึกษาของเราที่ร่วมกันหล่อหลอมขึ้นมา

ผู้บริหารโรงเรียนประถมต้องยอมให้ผู้เรียนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ผ่านชั้น ป.6 เพราะความกลัวถูกเพ่งเล็งจากผู้บริหารที่อยู่เหนือขึ้นไป ครูเอง แม้จะขัดกับความรู้สึกที่ต้องตอบสนองนโยบายผู้บริหาร

ครูมัธยมก็เริ่มสงสัยครูประถมว่า ทำอะไรกันอยู่ ปล่อยให้เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้

อาจารย์อุดมศึกษา หากยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับประเด็นที่ตีคู่มากับโลกร้อน ก็อาจเป็นได้ว่าการศึกษาจะนำพาสังคมไทยสู่ความอ่อนแอลง และยากที่จะกู้กลับมา

จึงหมดเวลาที่จะไปโทษใครคนใดคนหนึ่ง หากว่าไปแล้วเราทุกคนล้วนมีส่วนในการทำลายประเทศชาติมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้น ครู-อาจารย์จึงควรต้องมาทบทวนบทบาทของตนเอง ครู-ผู้บริหารโรงเรียนทั้งหลาย ต้องบริหารวิชาการให้เข้มแข็ง ต้องแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ให้จงได้ อย่ามัวแต่บริหารความก้าวหน้าเฉพาะตนอยู่เลย เราต่างเป็นผู้ที่อาศัยโลก (ประเทศไทย) อยู่ ทุกคนควรสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามทิ้งไว้ก่อนอำลาจากไป

อาจารย์อุดมศึกษาก็ควรต้องฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็ง พร้อมส่งความเข้มแข็งสู่ศิษย์ และเกิดการส่งทอดความเข้มแข็งและความดีงามนี้ไปยังคนรุ่นต่อไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องช่วยกัน ทำให้การศึกษามีพลังที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ทุกสิ่งและจริงจัง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ผลจะกลับกัน การศึกษาต้องจะเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาของสังคมที่จะนำประเทศชาติสู่ความล่มจมในที่สุด

หน้า 5

เกมศีล5-มัลติมีเดีย เณรสิขาพิชิต 5 มาร

วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6366 ข่าวสดรายวัน

คอลัมน์ สกู๊ปข่าวสด

*สํานักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต จัดทำเกม "เณรสิขา พิชิต 5 มาร" ตามโครงการสื่อประเภทเกมเนื้อหาส่งเสริมพระพุทธศาสนา สนองพระดำริสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งเฉลิมพระเกียรติในวโรกาส การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชครบรอบ 19 ปี

บัดนี้ มหาวิทยาลัยรังสิตได้ดำเนินการจัดทำเกมดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยคณาจารย์ และนักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมสŒมัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ทูลเกล้าถวายเกม แด่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อประทานแก่เด็กและเยาวชน อายุไม่เกิน 18 ปีด้วย

พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า เนื้อหาของเกมนี้ ทางสำนักเลขานุการได้อัญเชิญพระนิพนธ์ เรื่องศีล 5 ของสมเด็จพระสังฆราชมาเป็นเค้าโครงของเกมทั้งหมด โดยมีตัวแสดงในเกมอยู่ 6 คน ได้แก่ เณรสิขา นายปั้ง นายตู่ นายเนี้ยบ นายติ้ง และนายโอ๊ต ซึ่งจะต้องผจญกับ มาร 5 ตน ที่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปเมื่อเข้าสิงคน เช่น โหดร้าย ลักขโมย ผิดลูกผิดเมีย พูดจาโกหกหลอกลวง ติดเหล้า เป็นต้น

ส่วนลักษณะของการเล่นเกมนั้น ผู้เล่นจะควบคุมการเล่นทั้งหมดเหมือนกับว่า เป็นเณรสิขา ใช้พลังจิตควบคุมญาติโยมทั้งห้าคนไม่ให้อยู่ใต้การควบคุมจิตใจของมารทั้งห้า ซึ่งแบ่งเป็น 5 ด่าน โดยผู้เล่นต้องเล่นให้ครบผ่านห้าด่านจึงถือว่าชนะเกมทั้งหมด

ด่านแรก เป็นด่านที่นายปั้งถูกมารควบคุมจิตใจคว้าอาวุธเดินเข้าป่าไปล่าสัตว์ทุกชนิด ทำให้เณรสิขา ต้องเข้ามาป้องกันชีวิตสัตว์ไว้

ด่านที่สอง เป็นด่านที่นายตู่ขโมยของในร้านตนเองออกไป เณรสิขาต้องยับยั้งการกระทำครั้งนี้

ด่านที่สาม นายเนี้ยบหลงหญิงสาว จนไม่สนใจลูกเมีย ทำให้เณรสิขา ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาอีกครั้ง


*ด่านที่สี่ มารได้บังคับจิตใจนายติ๊งให้พูดแต่คำโกหก เณรสิขาต้องสร้างมือวิเศษออกมาคอยตะปบคำโกหกไว้ไม่ให้คำโกหกเหล่านั้นลอยไปเข้าหูชาวบ้าน

ด่านที่ห้า นายโอ๊ตนั้นจะต้องเดินทางผ่านซอยเมรัย ซึ่งมีแต่สถานบันเทิง ร้านสุรายาเมา เณรสิขาจะต้องคอยควบคุมให้นายโอ๊ตหลบสิ่งของเหล่านี้ให้ได้

"ทั้งนี้ เมื่อผู้เล่นผ่านครบทั้งห้าด่านก็จะถือว่าเล่นเกมได้จบสมบูรณ์ โดยเกมจะแฝงความสนุก ผสานกับสาระคำสอนของพุทธศาสนา" หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ กล่าว

สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้จัดทำเกมขึ้น จำนวน 99,999 แผ่น เพื่อแจกจ่ายให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งจะนำไปแจกย่านศูนย์การค้าสำคัญๆ ตลอดจนเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เขียนไปรษณียบัตร "คำอารธนา ศีล 5" ส่งมาที่ตู้ ป.ณ.121 ปทุมธานี 12000 เพื่อรับเกมในชุดแรกจำนวน 4,919 แผ่น

สามารถส่งมาได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2551 จากนั้น บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด จะจัดส่งเกมให้ถึงบ้านของผู้ส่งไปรษณียบัตรเข้ามาต่อไป

ขณะเดียวกัน นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้มอบต้นฉบับเกมเณรสิขา พิชิต 5 มาร พร้อมงบประมาณสนับสนุน จำนวน 200,000 บาท ให้แก่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เพื่อให้ดำเนินการจัดทำสำเนาเกม แจกให้แก่สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ

นายอาทิตย์ กล่าวว่า ในนามมหาวิทยาลัยรังสิต ได้มอบต้นฉบับเกม เณรสิขา พิชิต 5 มาร ให้แก่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เพื่อให้ดำเนินการจัดทำสำเนา แจกให้แก่สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สอนแนวพระดำริสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงอยากให้ เด็กและเยาวชน ได้เรียนรู้ธรรมะอย่างง่าย และเป็นสื่อที่มีความทันสมัย สามารถจูงใจให้เข้าถึงศีล 5 มากขึ้น


*อย่างไรก็ตาม รู้สึกภูมิใจที่นักศึกษาของมหาวิทยา ลัยรังสิต ได้เป็นผู้ผลิตเกมดังกล่าวขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ ได้ซึมซับหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนได้ฝึกทักษะตามหลักวิชาที่ได้เรียนมาด้วย

"ผมหวังว่า เกมดังกล่าวจะจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ แก่เด็ก และเยาวชน ให้ลดความรุนแรง ส่งเสริมให้รู้หลักของศีลธรรม อย่างง่ายๆ โดยเฉพาะหลักของศีล 5 ที่เป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตน เป็นชาวพุทธที่ดี และที่สำคัญ อยากให้ผู้ผลิตเกมได้คำนึงถึงเด็ก เยาวชน อย่าเน้นทำเกมที่มีแต่ความรุนแรง ทำลายล้าง และมีแต่อุบายที่ฉ้อฉล ที่จะส่งผลต่อเด็กในอนาคต" อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตกล่าว

ด้านอาจารย์สุทธิ สุทธิประการ อาจารย์ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโล ยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความเป็นมาของการสร้างเกม "เณรสิขา พิชิต 5 มาร" ว่า ตนและอาจารย์สุธีร์ ธนรัช รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะศิลปะและการออกแบบ ได้มีโอกาสพูดคุยกับทางสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ถึงวโรกาสปีมหามงคลที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ครบ 19 ปี ในวันที่ 21 เมษายน 2551 ทางสำนักอยากให้สร้างเกมส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยนำคำสอนทางศาสนามาไว้ในเกมให้เยาวชนได้ซึมซับ

ตนจึงนำเรื่องดังกล่าวมาปรึกษากับคณบดีและหัวหน้าสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทางคณะจึงให้การสนับสนุนและผลักดันให้นักศึกษาที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเกมดังกล่าว โดยมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามความถนัดของนักศึกษาแต่ละคน เช่น การเขียนบท เขียนโปรแกรม กราฟิก เป็นต้น

นายธเนศวร ธรรมลงกรต นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโล ยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ตัวแทนนักศึกษาที่ร่วมสร้างเกม กล่าวว่า เกม "เณรสิขาพิชิต 5 มาร" เป็นเกมที่แฝงคำสอนทางพระพุทธศาสนา เรื่อง "ศีล 5" ที่ต้องการให้ผู้เล่นได้รับความสนุกสนานและได้แง่คิดคำสอนทางพระพุทธศาสนาด้วย ซึ่งเกมดังกล่าวเป็นเกมเกี่ยวกับเณรที่มีนามว่า สิขา ที่ต้องมาปราบมาร 5 ตน ที่หลุดหนีออกมาจากนรกเข้ามาสิงอยู่ในญาติโยมของเณรสิขา

มารที่ว่าเกี่ยวกับศีล 5 ประกอบด้วย 1.มารที่ชอบฆ่าสัตว์ 2.มารหัวขโมย 3.มารที่มากด้วยตัณหา 4.มารที่ชอบพูดโกหก และ 5.มารที่ติดเหล้า ติดยาเสพติดให้โทษ เณรสิขาจะต้องใช้พลังจิตที่ได้จากการฝึกสมาธิมาแต่กำเนิด ต่อสู้ขัดขวางเหล่ามารที่สิงอยู่ในญาติโยมทั้ง 5 ให้กลับมามีชีวิตเป็นปกติสุขอย่างเดิม โดยเฉพาะศีลข้อ 5 ที่ว่าด้วยการละเว้นการดื่มน้ำเมาที่ทำสำเร็จแล้ว และกำลังเปิดให้โปรแกรมที่ http://www.rsu.ac.th ซึ่งพวกเราได้ผลิตและปรับปรุงให้เสร็จสมบูรณ์ครบทั้ง 5 ศีลแล้ว

"ผมและเพื่อนในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย ประมาณ 10 คน เห็นว่าเป็นโครงการน่าสนใจมาก พวกเราเรียนมาทางด้านการสร้างเกมโดยตรง จึงอยากมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เกมที่ดีและมีประโยชน์ให้แก่เยาวชน และรู้สึกภูมิใจมากที่เกมนี้จะได้ถวายสมเด็จพระสังฆราช ในวโรกาสปีมหามงคลดังกล่าว ซึ่งพวกเราทุกคนใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในการสร้างเกม" นายธเนศวร กล่าวเสริม

สำหรับผู้ที่สนใจเกม "เณรสิขา พิชิต 5 มาร" สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร โทร.0-2281-2831-3

หน้า 30