วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 27, 2550

การเมืองภาคประชาชน ต้องเข้มแข็ง


การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม มี่ผ่านมา เราคงจะได้เริ่มเห็นปรากฏการณ์บางสิ่งบางอย่างกันบ้างแล้ว ละครฉากต่อไปก็คงเป็นบทบาทของ ตัวละครแต่ละตัวที่ ประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งต่างๆที่จะเป็นไปล้วนเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพรรคล้วนๆ แม้ว่า ประชาชนจะเป็นผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และไปทำหน้าที่บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามวาระในรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ตามประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครองที่ผ่านมา ประชาชนไม่สามารถ เข้าไปควบคุม หรือ กำหนดทิศทางของนัการเมือง พรรคการเมือง ให้ดำเนินการทางการเมืองการปกครอง ให้เป็นไปตามนโยบาย และสิ่งที่ได้เคยประกาศ โฆษณากับประชาชนในตอนที่กำลังหาเสียงได้เลยสักอย่าง
ล้วนสามารถแปรเปลี่ยน เพื่อเข้ารวมขั้ว รวมพรรค เพื่อให้ได้เข้าร่วมตั้งรัฐบาลได้ทั้งสิ้น ส่วนเหตุผลนั้นเล่นไม่ยาก สูตรสำเร็จรูปของตาย ที่ใช้ได้ผลทุกยุคทุกสมัย ก็คือ “เพื่อชาติ บ้านเมือง เพื่อความสงบเรียบร้อย เพื่อประชาชน” โดยเรื่อง นโยบาย หรือจุดยืน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึง
แบบนี้ นโยบาย หรือจุดยืนที่ประกาศต่อประชาชนตอนหาเสียง ไม่มีความหมาย อะไรเลยหรือ?
ถามว่า นักการเมือง พรรคการเมือง มีอะไรเป็นหลักประกันในเรื่อง จุดยืน อุดมการณ์ ในตอนหาเสียง ต่อประชาชนให้เชื่อถือได้อย่างนี้ เท่ากับเป็นการ หลอกลวงประชาชน หรือไม่? ขอให้เฝ้าติดตามดูกันต่อไป

โดยประวัติศาสตร์การเมือง การปกครอง ของเรามักเป็นอย่างนี้มาตลอด ถามว่าแล้วประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่หละไปอยู่ที่ไหน? ใครจะเป็นผู้ ควบคุม ดูแล แสดงว่าอำนาจที่กล่าวในรัฐธรรมนูญ เป็นเพียง ตัวหนังสือเท่านั้นเองหรือ อำนาจที่แท้จริงของประชาชน อยู่ที่ไหน ?

ดังนั้น ทำอย่างไร เราถึง จะทำให้ ประชาชน มีอำนาจ ที่แท้จริง ที่จะควบคุมตรวจสอบนักการเมือง เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนอุดมการณ์ จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นสูตรสำเร็จรูป ว่าทำ เพื่อเห็นแก่ ชาติบ้านเมือง เพื่อเห็นแก่ประชาชน

ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป การเมืองไทย นักการเมืองไทย บ้านเมืองไทย ควรจะ อยู่ในร่องในรอย พ้นจากวังวนของน้ำเน่า ไม่วุ่นวาย อย่างที่ผ่านมา ทั้งนี้ และทั้งนั้น ก็ต้องมาจาก การเมืองภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง.

วันจันทร์, ธันวาคม 24, 2550

การเลือกตั้ง หลังความวุ่นวาย การเมืองภาคประชาชน ต้องเข้มแข็ง


การเลือกตั้ง หลังความวุ่นวาย
การเมืองภาคประชาชน ต้องเข้มแข็ง



     ณ ขณะนี้ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังการเลือกตั้งเสร็จ เราลองมาดูผลการเลือกตั้งงวดนี้ดูว่า ใครได้ ใครไม่ได้ เพราะอะไร ใครได้แล้วจะทำหน้าที่อย่างไร จะทำให้การเมือง เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย เข้าสู่ระบอบการเมืองที่ควรจะเป็น หรือจะสามารถชี้ชะตานักการเมืองที่มีอุดมการณ์ หรือนักการเมืองน้ำเน่าที่จะทำให้การเมืองของไทยวุ่นวายอย่างที่เคยเป็น อยากให้เฝ้าจับตาดู แล้วช่วยกันทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจของการเมืองอย่างแท้จริง การเมืองเมืองไทยจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ใครที่ทำหน้าที่ทางการเมืองได้ดี ใครทำหน้าที่ทางการเมืองไม่ดี ขอให้เฝ้าจับตาดูผลกระทบที่เคยเกิดขึ้น และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น

*
     เราควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเมืองภาคประชาชน ให้มีความเข้มแข็ง เราต้องติดตามบทบาทของนักการเมือง และจับตาการทำหน้าที่ทางการเมืองในสภาต่อไป ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนเป็นผู้กำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ และเป็นผู้พิจารณาว่าจะเลือกใครหรือไม่เลือกใคร เพื่อทำหน้าที่แทนในสภาและทำหน้าที่บริหารชาติบ้านเมืองแทนประชาชน
     ไม่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมหรือไม่อย่างไร พรรคไหนจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ขอให้เปิดโอกาสให้รัฐบาลบริหารชาติบ้านเมือง ให้สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่ ดูจนครบวาระไม่ใช่อย่างที่ผ่านมา พอรัฐบาลจะกระดิกตัวหน่อย ก็ตีรวนกันในสภา ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรหน่อย ก็เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบนี้ จะให้ฝ่ายที่เป็นรัฐบาลทำงานได้อย่างไร รัฐบาลจะต้องเป็นพรรคของตัวเองเท่านั้นหรือ?
     ขอให้เราเฝ้าดูจุดยืนทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ดูที่การกระทำของนักการเมือง อย่าฟังแต่ที่คำพูด สำนวนโวหารเพียงอย่างเดียว เพี่อว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป เราจักควรเลือกให้เขาเหล่านั้น อยู่ทำหน้าที่แทนประชาชนในสภาต่อไป? หรือไม่ควรเลือกเป็นตัวแทนต่อชาติบ้านเมือง? จะได้ไม่สับสน ไม่วุ่นวาย รัฐบาลจะได้มีโอกาสบริหาร ได้พัฒนา ชาติบ้านเมืองไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ไม่ต้องอยู่ในวังวน อยู่ในวงจรอุบาทว์ อย่างที่เคยเป็นมาแล้วในอดีตอีกต่อไป ประชาชนอย่าได้เห็นแก่พรรคพวกตัวเอง อย่าได้เห็นแก่ญาติโยมตนเอง อย่าได้เห็นแก่อามิส สินจ้างที่ได้รับ
     หรือหากใครอยากได้เป็นรัฐบาล เพื่อจะได้บริหารชาติบ้านเมืองได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ต้องกังวล กลัวปากฝ่ายค้าน ไม่ตองกังวลต่อการเปิดอภิปราย อย่างพร่ำเพรื่อ ก็เลยต้อง ใช้วิธีการซื้อตัวนักการเมืองเข้ามาสังกัด ในพรรคตนให้มากเข้าไว้ เพื่อที่จะสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างเข้มแข็งกระนั้นหรือ?
     หากการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นอยู่อย่างนี้ บ้านเมืองเราวุ่นวาย เราจะโทษใคร เราต้องโทษการเมืองภาคประชาชนที่ไม่เข้มแข็ง ขอฝากเป็นข้อคิดว่า
     - ให้จับตาดูว่าผู้แทนคนไหน ชอบตีฝีปาก ตีรวน ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไร ยังไม่ทันไร ก็โจมตี จนรัฐบาลไม่สามารถ บริหารงานได้ หรือเอาแต่เรื่องส่วนตัวมาโจมตีกันในสภา มากกว่าพูดเรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องของ ประชาชน เราควรที่จะต้องปล่อยให้รัฐบาลเขาได้มีโอกาสบริหารชาติ บ้านเมืองอย่างเต็มที่ และเฝ้าจับตาดูที่ผลงาน และนั่นแหละ เราถึงจะมาตัดสิน ชี้วัดฝีมือกันว่า รัฐบาลทำงานสำเร็จหรือไม่เพียงใด และนั่นแหละในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเราจึงจะตัดสินใจว่า เราควรให้พรรคไหน เป็นรัฐบาล เราไม่ควรที่จะเลือกนักการเมืองคนใดเข้ามาเป็นตัวแทนแทนเราให้รกสภา
      - ทำอย่างไรที่จะสร้างการเมืองภาคประชาชน ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศชาติบ้านเมืองตัวจริง มีความเข้มแข็ง มีพลัง อำนาจ ในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองเราอย่างที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง
     แต่ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนการเมืองงวดนี้ นักการเมืองแต่ละท่าน ดูจะเรียบร้อย สงวนเนื้อสงวนตัว สงวนปากสงวนคำขึ้นเยอะ ดูจะเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับการเมืองไทย ขอภาวนาให้ นักการเมืองของไทยเป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิด โดยที่ประชาชนควรจะเฝ้าจับตาดูนักการเมืองที่ชอบตีฝีปาก พ่นน้ำลาย แบบน้ำไหลไฟดับ ขุดคุ้ยเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาโจมตีฝ่ายตรงข้ามกันในสภามากกว่าการพูดในเรื่องบ้านเมือง เรื่องปากท้องของประชาชน ขอให้เฝ้าจับตาดู !

วันพุธ, ธันวาคม 19, 2550

สื่อมวลชนบันเทิง กับ ความรับผิดชอบสังคม


สื่อมวลชนบันเทิง กับ ความรับผิดชอบสังคม


     มักได้ยินข่าวอยู่เสมอว่า ดารา หรือผู้คนบางคน ต้องเสียหาย จาก การตกเป็นข่าว ซุบซิบในวงการบันเทิง เช่น ตกเป็นข่าวเรื่องเตียงหัก มือที่สาม ค้ายา หรือ กุ๊กกิ๊ก หรือกรณี เบิร์ด ธงชัยฯ เป็น ตุ๊ด ดาราหญิงคนนี้ เป็น เลสเบียนบ้างหละ อะไรต่อมิอะไรที่ไม่เป็นความจริง กว่าที่เจ้าตัวจะแก้ข่าว สร้างความจริงให้ปรากฏ ก็อ่วมอรทัยไปแล้ว

     เหล่านี้ ได้สร้างความเดือดร้อน แก่ผู้ที่ตกเป็นข่าวขนาดไหน บางรายอาจต้องเลิกร้างกันไป บางรายเสียผู้เสียคนไปก็มีหลายราย
     เหตุผลของเหล่ากระจอกข่าวพวกนี้อาจจะบอกว่าก็เป็นอาชีพบ้างหละ มันเป็นหน้าที่บ้างหละ ส่วนพวกดารา พวกนักร้องนักแสดง ใครต่อใคร ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ จะต้องยอมให้สื่อสอดรู้สอดเห็น ขุดคุ้ย ซอกแซก พูดเสียดสี ถากถาง นินทากาเล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ

ข่าวเหล่านี้ สังคมได้อะไร?
ใครได้ ใครเสีย?


แต่ทีแน่ๆ เจ้าตัว ญาติโยม เสียหายป่นปี้ ไปแล้ว
สำหรับคนที่ได้ แน่นอน คือ คนเขียน และ หนังสือพิมพ์ ขายดี
แล้ว ใคร? สถาบันไหน? ที่เป็นผู้บอก ว่าหากเป็นนักข่าว สื่อบันเทิงสามารถที่จะกระทำแบบนี้ได้
ถามว่า แล้ว จรรยาบรรณของนักข่าว ของสื่อ อยู่ที่ไหน?

อย่าสักแต่ว่า มีปากกา มีสื่อ อยากเขียนอะไรก็เขียน ไม่ต้องรับผิดชอบ อย่างนั้น หรือ ลองย้อนถามตัวเองบ้างว่า หาก เป็น คนเขียนเอง ใครอยากจะ โพนทะนา ว่า ค้ายา เป็นชู้กับ ใครต่อใคร ไป ทำเลวระยำ บ้าบอ อย่างนั้นอย่างนี้ โดย ไม่เป็นอย่างนั้นจริง บ้าง จะว่า อย่าง ไร คง นั่ง หัว ร่อ ชอบใจ อยากให้ ใครต่อใคร เอาเรื่อง ที่เสื่อมเสียส่วนตัวของตน ไป เขียน ให้มันๆสนุก ปาก ทั่วบ้านทั่วเมือง ละซี มีไหม กรองข่าว ตรวจสอบข่าวก่อน ลง น๊ะ

หากจะบอกว่าสื่อมวลชนยังมีอภิสิทธิ์ ในการใช้สิทธิเสรีภาพ ใช้ความเป็นฐานันดรสี ๔ ทำแบบนี้ได้ผมว่าถ้าแบบนี้ ปิดกั้นเสรีภาพสื่อจะดีไหม? ใครก็ได้ ช่วยตอบแทนที อย่าบอกว่า ขอโทษ ตน เข้าใจผิด ง่ายๆ พล่อยๆ สื่อที่มีจรรยาบรรณ สื่อที่ดีดี อย่า เข้าข้างพฤติกรรมเลวๆ แบบนี้ แล้วกัน.


*

นี่ ก็มาอีก ข่าว

"ไก่ วรายุฑ" บุกนิตยสารมายาแชนแนล หลังถูกเขียนพาดพิง "นก ฉัตรชัย" ขนย้ายข้าวของมาอยู่ที่บ้านตนเอง เจ้าตัวสุดยัวะบอกรับไม่ได้ ออกอาการปรี๊ดแตกบอกอยากจะฉี่รดหนังสือพิมพ์ทีเดียว"

เป็นอย่างนี้ เสมอ แต่ สื่อก็มักอ้างว่า เป็นหน้าที่และเป็นอภิสิทธิ์ของสื่อ
ผมถามจริงๆ เหอะ ว่ามีกฏหมายประเทศไหนในโลกบ้าง ที่อนุญาต ให้สื่อฯ สามารถ ใช้ เครื่องมือที่สังคมมอบให้ สร้างความระยำ ด้วยการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จาบจ้วงล่วงเกิน พูดเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงต่อใครๆอย่างเสรีได้
หรือในวงการจะมีเหตุผล แห่งการกระทำ ว่า มันเป็นวิถีเพื่อความอยู่รอดของนักข่าว ใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าแบบนี้ ที่โจรมันปล้น ข้าราชการ นักการเมืองก็จะบอกว่า ขอใช้อภิสิทธิ์ในการโกงกิน ปาหินใส่รถใครต่อใคร ค้ายา ปล้นทรัพย์ ฆ่า ข่มขืน และอะไรต่อมิอะไร โดยบอกว่า ตนมีสิทธิ เสรีภายแบบสื่อ เพื่อความอยู่รอดของตนบ้าง สื่อจะว่าอย่างไร?
ใครเรียน สื่อสารมวลชนช่วยตอบที อาจารย์ และตำรา เขาสอนให้ หนังสือพิมพ์ทำอย่างนี้ได้หรือ? ถ้าสอนแบบนี้ ผมว่าเลิกสอน เลิกเรียนกันเหอะ ผมขอร้อง.

วันศุกร์, ตุลาคม 26, 2550

ละครน้ำเน่า ก็ยังคง อยู่ ตามเคย


.....
ละครน้ำเน่า ยังอยู่ ก็เพราะมีคนดู

.....นักการเมือง น้ำเน่า ก็ยังอยู่ เพราะยังมีคนเลือก กระนั้น หรือ ?
เวทีการเมืองไทย ก็ยังคงเหมือนเดิม
ความผันผวน ทางการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของเมืองไทยที่ผ่านมา เกิดเพราะอะไร ?
ประชาชน ขาดจิตสำนึกทางการเมือง เห็นแก่ เงินที่นักการเมือง หยิบยื่น เศษเงิน เอามาให้ หรือ ?
นักการเมือง มีอุดมการณ์ แต่ไม่มีคุณภาพ หรือ ?
นักการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ หรือ ?
นักการเมือง มีความรู้ มีความสามารถ แต่ขาดจริยธรรม หรือ ?

.......ไม่ต้อง พูดเรื่องอุดมการณ์เลย ใครๆก็พูดกันได้ อุดมการณ์ของนักการเมืองสร้างขึ้นมาได้เป็นรายวัน และมันก็สามารถ เปลี่ยนได้เป็นทุกนาที

.......วันๆก็คิดแต่เรื่อง ว่าจะผสมพันธุ์กับพรรคไหน ใครอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะคอยนั่งดีดลูกคิดรางแก้ว ว่าจะสามารถรวบรวม สรรหาอดีตสส.ให้อยู่ในมือได้สักกี่คน แล้วก็พยายามประมูลซื้อตัว ขายตัวกันวุ่นวาย นี่หรือนักการเมืองไทย? คิดได้เพียงแค่นี้ เองหรือ ?

....... ผมเสียดายระยะเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้อง โหยหา เสรีภาพทางการเมือง การปกครอง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ปลดแอกจากเผด็จการทหารที่ยึดกุมอำนาจรัฐ กดขี่ข่มเหง ปิดหู ปิดตาประชาชน เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง ตัวแทนของประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ แทนประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน แต่จนแล้วจนรอด เมืองไทยเราก็ยังไม่พ้นวงจรอุบาทว์จนได้

....... ในคราว ดร.ทักษิณฯ เป็นนายกรัฐมนตรี หะแรกก็ทำท่าว่าจะดี ที่เราได้คนเก่ง คนฉลาด คนที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ นำพาเศรษฐกิจของชาติให้ก้าวล้ำหน้า แต่ในที่สุด ด้วยรัฐธรรมนูญ เอื้ออำนวยให้ผู้ที่เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล มีเสถียรภาพทางการเมือง เนื่องจากบทเรียนของรัฐบาลยุคที่ผ่านมา สองสามสมัย พรรคที่เข้ามาจัดตั้งเป็นรัฐบาล กลายเป็นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพทางการเมือง เพราะเป็นรัฐบาลผสม ต้องผสมผสานกับพรรคการเมืองอื่น และรัฐธรรมนูญ ปี 40 จึงได้สร้างภูมิคุ้มกันนายกรัฐมนตรี มิให้ถูกอภิปายได้ง่ายเกินไป ไม่ต้องมาอยู่ในวังวนของการถูกพรรคฝ่ายค้าน ปักหลักอภิปราย ลูกเดียว เพื่อให้รัฐจักมีเสถียรภาพ ในทางการเมืองการปกครอง การบริหารประเทศชาติ จักได้เข้มแข็งเด็ดขาด สามารถนำพาประเทศชาติเจริญรุดหน้ากับเขาสักที ไม่ต้องบริหารประเทศชาติทำอะไรกันสักที เพียงแค่ต้องถูกพรรคฝ่ายค้าน เสนอญัตติขอเปิด อภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเดียว ก็ไม่ต้องทำอะไร พอดีก็หมดสมัยแล้ว ( แต่ที่แน่ๆ ถ้าเราไม่ขึ้ลืมจนเกินไป นักการเมืองพวกที่เป็นดาวสภาจุดประเด็น อภิปรายสั่นคลอนฝ่ายรัฐบาลในสมัยนั้นๆ จนรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศชาติได้อย่างมีเสถียรภาพ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นดาวสภาเจ้าเก่า ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่ เรียกว่าแทรกเป็นยาดำ สร้างความน้ำเน่า น้ำครำในวงการเมืองมาตลอดทุกยุคทุกสมัย )


ทีนี้ พอ รัฐธรรมนูญ พยายามแก้จุดอ่อนของผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจง่ายๆ ก็กลายเป็นจุดอ่อนให้เกิดการดูด ซื้อ สส.ให้เข้ามาสังกัดมากขึ้น จึงทำให้เกิดเผด็จการในสภา พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรี และการอภิปรายรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลก็ทำไม่ได้ง่ายนัก พรรคพวกก็ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถอภิปรายได้เลย แบบนี้จะให้เรียกว่าอะไร?


การบริหารประเทศชาติ เป็นเรื่อง ของการใช้อำนาจรัฐ เป็นเรื่องของการกระทำแทนประชาชนทั้งประเทศ เป็นเรื่องของ ผลประโยชน์มหาศาลหากว่าพรรคฝ่ายค้าน หรือประชาชน ไม่มีสิทธิ์สอบถาม ไม่สามารถตั้งประเด็น ซักไซร้ ไล่เรียงแบบนี้ ถามว่า บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เรายังไม่ต้องพูด ว่า อะไรผิด อะไรถูก บริหารงานแบบไม่ฟังเสียงใคร สร้างศัตรูทางการเมือง สร้างความกดดันในภาคใต้ สร้างความกังขาในเรื่องของ ผลประโยชน์ และการใช้อำนาจ ชนิดที่ไม่สามารถซักฟอกกันได้เลย มิหนำซ้ำยังสร้างความกังขาในกระบวนการ ฯ.............ที่ แม้ไม่สามารถ ฟันธงชี้ชัดได้ว่า ผิด หรือ ทุจริต หรือ ไม่โปร่งใส .. ซะแล้ว ยิ่งจะทำให้กระแสสังคม เกิด แรงสะท้อนกลับ อย่างรุนแรง จนการยึดอำนาจกลายเป็นทางออกสุดท้ายที่สังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับจนได้ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่า ดร.ทักษิณฯ จะทำความผิดจริง หรือไม่อย่างใด?

.....นี่แหละ คือ อุทธาหรณ์ แห่ง กระแสความไม่พอใจ ที่ทั้งประชาชน นักธุรกิจ นักการเมืองฝ่ายค้าน และทหาร ที่ได้เกิดขึ้นมากขึ้นทุกที จึงทำให้เกิดการล้มล้างอำนาจการปกครองแบบประชาธิปไตยเดิม แล้วแก้ไข กติกากันใหม่ เพื่อให้เกิดจากกระบวนการทางการเมืองที่เปิดโอกาส ให้มีการ “Check and Balance” ได้

......ตรงนี้ คืออุทธาหรณ์ เป็นพื้นฐานที่พวกเราประชาชน ซึ่งเป็นอำนาจที่สี่ทางการเมือง จำเป็นที่จะต้องช่วยกัน อย่าเห็นแก่พวกพ้อง อย่าเห็นแก่ อามิสสินจ้างเฉพาะตน เก่งอย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ควรคำนึงว่าจะเอา นักการเมืองคนไหน ที่มีอุดมการณ์ มีจริยธรรมทางการเมือง อยู่ในร่องในรอย ไม่กอบโกยโกงกิน ไม่สร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง ญาติโยม และ พวกพ้อง ไม่เป็นนักการเมืองโสเภณี ที่เปลี่ยนพรรคเพราะเงิน เพราะอยากเป็นพรรครัฐบาลอย่างเดียว ไม่เป็นพรรคการเมืองสำส่อนผสมพันธุ์กันไม่เลือกหน้า จะเอาพรรคไหนที่จะมาช่วยทำให้เป็นผู้กำหนดชะตาทางการเมืองของประเทศชาติอย่างจริงจัง

.....คำถาม ? ละครการเมืองที่กำลัง เริ่มขึ้น ณ ขณะนี้..มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อไปในอนาคต การเมือง บ้านเมืองเรา จะเป็นเช่นไรต่อไป ? และเรามีหนทางใดที่จะป้องกัน หรือแก้ไข มิให้วงจรอุบาทว์แห่งการยึดอำนาจมันเกิดขึ้นมาซ้ำซากขึ้นอีกได้อย่างไร?

...... ขอประชาชนทุกสาขาอาชีพ สื่อสารมวลชนทุกแขนง นักวิชาการทุกคน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติ และปัญญา จงมองย้อนวิถีทางการเมืองของเราในอดีต อย่าเพียงมองปัญหาจากด้านเดียว มุมเดียว สักแต่ว่า จะวิจารณ์การยึดอำนาจของทหารด้วยกำลังอาวุธ แต่มิได้ต่อการการยึดอำนาจในสภาด้วยเงิน ( อย่างเช่น กระแสการหักด้ามไม้เรียว โดยกล่าวหาว่า ครูโหดร้าย แต่ไม่ได้ดูว่าเด็กเกเร หรือไม่ จนเดี๋ยวนี้เด็กไม่กลัวครู )อย่าสักแต่ด่าการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ เพียงอย่างเดียว จงมาช่วยกัน ต่อต้านการยึดอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ และ การยึดอำนาจด้วยเงิน อย่าสักแต่ว่าจะเขียนอะไรตามกระแส ซึ่งเป็นคนละเรื่องเดียวกันมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกันมากยิ่งขึ้นไปอีกเลย

.....อย่าสักแต่บอกว่า จงปล่อยให้ วิถีทางการเมือง ทางสภา ในวิถีทางทางการเมือง เป็นการแก้ปัญหาและเป็นตัวตัดสิน ในขณะที่เกิดเผด็จการในสภา ในขณะที่มีข่าว ทุจริต คอรัปชั่นเชิงนโยบาย ในขณะที่ กลไกของรัฐทุกอย่าง สื่อฯ เริ่มถูกซื้อด้วยเงินและอำนาจ จนประชาชน ไม่มีเครื่องมือในการช่วยตรวจสอบได้เลย จนทำให้ การยึดอำนาจของทหารที่ชูป้าย ว่าเป็นการยึดอำนาจ เพื่อผดุงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุข...เป็นทางออกอีกเลย

วันพฤหัสบดี, กันยายน 27, 2550

"อภิรักษ์" รับฟังนักวิชาการแห่ทัก 50 ปี น้ำท่วมกรุง


ข่าวจาก Nationchannel.com /วันพุธ 26 กันยายน พ.ศ. 2550


...... "อภิรักษ์" รับฟังนักวิชาการแห่ทัก 50 ปี น้ำท่วมกรุง เตรียมประสานขอข้อมูลมาวิเคราะห์ วอนอย่าให้ตื่นตระหนกเกินไป สถานการณ์รายวันยังไม่น่าเป็นห่าวง
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยถึงกรณีที่นักวิชาการออกมาให้ความเห็นว่าอีก 50 ปี กรุงเทพฯจะจมน้ำ จึงอาจจะต้องมีการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมแต่เนิ่น ๆ ทั้งการสร้างเขื่อนกั้นทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา – อ่าวไทย ด้วยงบประมาณกว่าแสนล้านบาท รวมทั้งมีแผนการป้องกันน้ำท่วมชั่วคราว และแผนถาวรด้วย ว่า ตนจะทำการรวบรวมความคิดของนักวิชาการต่าง ๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น
ซึ่งขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ซึ่งประกอบ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) กรมชลประทาน และจังหวัดใกล้เคียงอยู่แล้ว ซึ่งมีการหารือเพื่อแก้ไขปัญหากันอยู่ตลอดเวลา โดยในระยะสั้นการแก้ไขปัญหาก็มีการดำเนินการรับมืออยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น การระบายน้ำ การเพิ่มพื้นที่รับน้ำ
....... อย่างไรก็ตามจะมอบให้สำนักการระบายน้ำ (สนน.) ประสานขอข้อมูลโดยตรงกับนักวิชาการแต่ละท่าน เพื่อขอข้อมูลที่ศึกษาไว้หรือข้อมูลใหม่ เพื่อรวบรวมข้อมูลมาศึกษา มาช่วยในการวางกรอบป้องกันและแก้ไขปัญหา ซึ่งมุมมองที่แต่ละท่านเสนอเข้ามา จะเป็นทิศทางเดียวกับกทม.หรือไม่นั้น คงจะต้องลองดูข้อมูลที่จะได้ก่อน ทั้งนี้กทม.อาจจะต้องหารือกับคณะรัฐบาล เพื่อหารือถึงข้อมูลและแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่อยากให้มองเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นมากให้เกินไป และไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก ซึ่งถ้ากทม.ได้รับทราบล่วงหน้าถึงสถานการณ์ ก็จะชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเป็นระยะๆ ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันในขณะนี้ ก็มีการประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวันอยู่แล้ว และพบว่าขณะนี้สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วง ทั้งน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุน ส่วนปริมาณน้ำฝน คงต้องรอดูความเปลี่ยนแปลงแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม กทม.มีการตรียมการรับมืออย่างเต็มที่ ทั้งพร่องน้ำลงแก้มลิงทั้ง 20 แห่งและในคลอง เปิดอุโมงค์ระบายน้ำ เตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อมตลอด 24 ชม.เป็นต้น.

วันอาทิตย์, กันยายน 23, 2550

สมัครฯ เป็น "โนมินี" หรือ เป็น........ อะไร?


.....คุณสมัครรู้ตัวไหม ว่า ตัวเองไม่ใช่ "โนมินี"(nominee)ของ คุณทักษิณฯ หรอก ..ถ้าอย่างนั้น..... ถามว่า แล้วคุณทักษิณฯ ชักชวนคุณสมัครฯ เข้ามาอยู่ พรรค พลังประชาชน เพื่อการอันใด คุณทักษิณฯ ต้องการให้คุณสมัครฯมาเป็นอะไร มาทำอะไร ให้แก่ ”พรรคพลังประชาชน “ ฤา ?
....... ขอตอบได้เลย ว่า คุณทักษิณฯต้องการให้ คุณสมัครฯ มาทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าฝูงแกะ และทำหน้าที่ เป็นสุนัขล่าเนื้อ คอยกัดกับฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณฯ ครับผม ชัดเจนไหม?
.......เพราะ อะไร ที่ กล่าวเช่นนั้น

ประการที่ 1 คุณสมัครฯไม่ได้ มีความรู้ความสามารถและไม่เคยมีผลงาน ในเรื่อง การแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจของบ้านเมือง หรือการสมานฉันท์ หรือ ด้านใดเลย ตรงข้ามท่านมีความสามารถที่จะทำอะไรสวนกระแสสังคมได้ตลอดเวลา ยกเว้น ความสามารถเรื่องพูดน้ำไหล ไฟดับ โดยไม่ต้องเว้นวรรคหายใจ ให้คนอื่นได้มีโอกาสพูด เลย หรือความสามารถในการ “ ชิมไป บ่นไป “ แล้วพ่นน้ำลาย ใส่ หนังสือพิมพ์ ใส่นักวิชาการ ใส่คนโน้นคนนี้ แต่ยังไม่เคยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนเป็นชิ้นเป็นอัน สักอย่าง มีแต่ผลงานจากลมปากทั้งนั้น อย่างเช่น ตอนที่ คุณสมัครฯ มาเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ก็ได้แต่พูด แล้วก็อ้างว่า เหตุที่ทำอย่างที่พูดไว้ไม่ได้ ก็เพราะ ได้รับการขัดขวาง จาก สภากรุงเทพมหานคร(สก.).เลยทำอะไรไม่ได้ แต่ในทางตรงข้าม ท่านสามารถสวนกระแสการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมได้อย่างหน้าตาเฉย ด้วยอาศัยวิวาทะ ที่ไม่มีใครเทียบทานไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำ ด้วยนโยบายสนับสนุนการใช้กระทงโฟมคัดค้านการใช้วัสดุธรรมชาติ ในช่วงที่ใครต่อใครกำลังรณรงค์การเลิกใช้โฟมให้หันมาใช้วัสดุธรรมชาติ นโยบายสนับสนุนให้มีหาบเร่แผงลอย ล้อเลื่อน รถเข็นขายบนทางเท้า ของคุณสมัครฯ ที่มาแปลกกับ ผู้ว่าฯคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ประเภทสุดขั้ว กับผู้บริหารทุกชุดที่เคยเขามาบริหาร กรุงเทพมหานครฯ ที่พยายามควบคุมจัดระเบียบ หาบเร่ แผงลอย กัน เพราะชาวประชาเขาเดือดร้อน เรื่องหาบเร่แผงลอย เพราะไม่มีทางเท้าจะเดิน และทำให้ถนนหนทางสกปรก ทำให้บ้านเมือง ไม่เป็นระเบียบ คุณสมัครฯประกาศเสียงดังฟังชัดเจนว่า หาบเร่ แผงลอย เป้นเอกลักษณ์อยู่คู่กรุงเทพฯ มานาน ไม่ควรยกเลิก ปล่อยให้ขายทุกวันไม่มีวันหยุด ทำให้ทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ ด้านความสะอาด เขาบ่นกันขรม วิสัยทัศน์ และความดื้อรั้น ไปแบบข้างๆ คูๆตามสไตล์ ของคุณสมัคร แล้วมาบัดนี้ การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ล้อเลื่อนรถเข็นเป็นอย่างไรบ้าง ประชาชนก็ยังคงเดือดร้อน ถนนหนทางก็ยังคงสกปรกไร้ระเบียบ ยิ่งกว่าเดิม แม้กระทั่ง เมื่อกรุงเทพ เกิดมีน้ำท่วม หรือไฟไหม้ บ้านเรือนประชาชน ประชาชนเดือดร้อนไปถ้วนหน้า คุณสมัครฯ ก็ไม่เคยเยี่ยมกรายออกไปดู โดยอ้างว่า ไม่ใช่หน้าที่ ของ ผู้ว่าฯ กทม. แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ประการที่ 2 คุณสมัครฯ เคยล้มเหลวในการนำพรรคการเมือง ” พรรคประชากรไทย “ ของคุณสมัครฯ ซึ่งขณะนี้ ก็ได้ล้มหายตายจากไปแล้ว

.....ประการสุดท้าย ที่สำคัญ ที่พิสูจน์ ความเห็นดังกล่าวข้างต้น คือ คุณสมัครฯ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นโยบายพรรค ที่ตนเองกำลังมาเป็นหัวหน้าพรรค มีนโยบายว่าอะไร เมื่อได้เข้ามาบริหารประเทศชาติ จะบริหารเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร อย่างดี ก็พูดว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ หนที่สุดพอทำไม่ได้ ก็ โทษเพราะอ้ายนั่น เพราะอ้ายนี่ ตามลีลาของคุณสมัคร? ขนานแท้และดั้งเดิม ไม่เปลี่ยน รสชาติสักหยดเดียว แม้จะเปลี่ยน ขวดและยี่ห้อใหม่ก็ตาม

......เหล่านี้ เป็นข้อพิสูจน์ ว่า คุณทักษิณฯ ชักชวนให้ คุณสมัครฯเข้ามา อยู่พรรคพลังประชาชน มิใช่เพราะเชื่อว่า คุณสมัครมีความรู้ ความสามมารถ แต่คุณทักษิณฯ มีความเชื่อเรื่องฝีไม้ลายมือในด้าน พูด ด่า ฟัน และชน กับศรัตรูของคุณทักษิณฯ ได้ดีกว่า สมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่มีอยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น และให้คุณสมัครฯ ทำหน้าที่เฝ้าฝูงแกะดูแลฝูงแกะ ที่อีกหน่อย พอเจ้าของคอก เริ่มโปรยเหยื่อให้ แกะที่แตกฝูงก็ จะเข้ามาอยู่รวมฝูงกันใหม่ และคอยสร้างความสับสน เวียนหัว ให้กับฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณฯ
..... คุณทักษิณฯ เชื่อมั่นว่า คุณสมัคร จะสามารถ ทำหน้าที่ คอยกัด และเห่า ศัตรูคู่แค้นของคุณทักษิณฯ และคอยปกป้องคุณทักษิณฯ ที่ไม่สามารถ ออกนอกหน้าในทางการเมือง ในประเทศได้อย่างชะงัดนัก และ คราวนี้แหละคุณทักษิณฯ ก็สามารถ ควบคุมการบริหารประเทศ โดยอยู่เบื้องหลัง ได้ อย่างแน่นอน สหายเอ๋ย

..... ทุกวันนี้ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับความขัดแย้ง ของคนในชาติ เรา ก็คือ การยั่วยุ ปลุกปั่นให้คนมีมิจฉาทิฐิ ก่อความแตกแยก ยั่วยุอารมณ์คน ให้เข้าห้ำหั่นหากัน โดยมิได้มี หิริ โอตตัปปะ ขาดซึ่งความเคารพเกรงใจ ละลาบละล้วงล่วงเกิน จะหา ความเกรงใจและเกรงกลัวเป็นไม่มี ไม่มีใครดี อยู่ในสายตาแล้ว คิดว่า ตัวเอง ฉลาด ตัวเองเก่ง ดื้อด้านสุดขั้ว สวนกระแสสังคมแบบมิจฉาทิฐิ กลับคำได้แม้เพียงชั่วข้ามคืน และกอร์ปด้วย มีโมหะจริต โทสะจริต
....คนแบบนี้ เป็นอันตรายต่อสังคม อย่างยิ่ง เพราะ ไม่ยอมฟังใคร ด้วยเหตุผล ถือเอา ความเชื่อของตนเองแบบสุดขั้วเป็นใหญ่ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่คนไทยบางคน นิยมชมชอบลีลาการพูดแบบนี้ โดยถือว่าเป็นคนเก่งเป็นวีระบุรุษ เอาลีลาการกล้าพูดกล้าชน กับใครต่อใคร ว่าเป็นคนเก่ง โดยไม่ได้ดู พฤติกรรม และจุดยืน นี่ซิน่ากลัว
....... ช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 คุณสมัคร สนับสนุนเผด็จการทหาร ต่อต้าน ด่าทอนักศึกษา ประชาชน ที่ ลุกขึ้นมาเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองการปกครอง ขับไล่เผด็จการทหาร อย่างออกนอกหน้า
..... เสร็จแล้ว บ้านเมือง เรา เป็นประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง คุณสมัครฯ สามารถกลืนน้ำลาย ก้าวเข้ามานั่งในสภา ตีฝีปากกลางสภา พ่นน้ำลายใส่ฝ่ายตรงข้าม นักการเมืองใครต่อใครได้ อย่างหน้าตาเฉยทั้งๆที่คุณสมัครไม่ได้มีส่วนช่วยหรือสนับสนุนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่ตรงข้ามกลับขัดขวางขบวนการ นิสิต นักศึกษา ประชาชน ทั้งประเทศ ชนิดทำตัวเป็นตัวแทนเผด็จการทหาร ตรงข้ามกลับต่อต้านจนได้รับประกาศนียบัตร ขวาตกขอบเสียด้วยซ้ำไป คงจำกันได้ ปัจจุบันนักศึกษา ประชาชน และนักการเมืองบางคนในนั้นก็ได้เข้ามาเป็น สมาชิกสังกัด"พรรคพลังประชาชน" ณ บัดนี้ หลายคนที่เป็นขั้วตรงข้ามก็ดี คนที่เคยเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองกับคุณสมัครฯหลายคน ก็ได้มารวมกันอยู่ที่ เวที "พลังประชาชน "ที่มีคุณสมัครฯ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เต็มตัว แล้ว ก็เห็นทุกคน..ดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวดี นี่คืออะไร...ถามว่า ท่านเหล่านั้น มารวมกันด้วย อุดมการณ์ทางการเมืองตรงกัน หรือ? มารวมตัวกันเพราะเป็นพวกเดียวกันมาก่อนหรือ มารวมตัวกันเพราะเคยต่อสู้ ขับไล่เผด็จการมาด้วยกันหรือ ? หรือเพราะมีความรักชาติ รักแผ่นดิน หรือรักประชาชน รักชาติจนตัวสั่น? หรือมารวมกันด้วยเหตุผล อันใด ณ ขณะนี้ ทุกคนตั้งแต่ หัว ยันหาง ดูเสมือนหนึ่งสงบนิ่งรอฟังอาณัติสัญญาณอะไรบางอย่าง จากนอกโลก
.......ซึ่งนักวิชาการ นักการเมืองและนักข่าวกลัวคุณสมัคร ไม่กล้าโต้คารมด้วยเป็นแถว นับว่าคุณสมัคร มีของดี ที่ใครๆต่างก็กลัวปากคุณสมัคร แม้แต่พิธีกรรายการ ที่เชิญคุณสมัคร มาออกรายการ ยังสู้คุณสมัครไม่ได้ พูดไม่ทันปากคุณสมัคร ปล่อยให้คุณสมัคร พูดเพียงฝ่ายเดียว ด้วยลีลาและคารมตามแบบฉบับได้อย่างหน้าตาเฉย ที่สำคัญ เมื่อต่อมาภายหลังแม้คำพูดที่เคยพูดไว้จะผิด แต่โทษทีคุณสมัคร ไม่เคยยอมรับ ว่า ตนได้พูดอย่างนั้น สามารถ เลี่ยงบาลี แบบ ศรีธนญชัยได้อย่างหน้าตาเฉย ท่าน ก็ว่ากันไปไม่เชื่อ ไปเปิด เทป รายการ” ตัวจริง ชัดเจน “ ของช่อง TITV ซี ว่า คุณสมัคร ได้พูด เกี่ยวกับว่าตนเองเป็น “โนมินี” ตัวจริง ของคุณทักษิณฯ ชัดเจน แต่พอเริ่ม มีการวิพากษ์ ว่า การเป็น “โนมินี” ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ คนในพรรคพลังประชาชน หลายคน เริ่ม กระสับกระส่าย คำพูด คุณสมัครฯ ตอนนี้ เริ่มเปลี่ยนว่า เจตนาไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ..ส่วน ปี่ ขลุ่ย ฆ้อง กลอง ข้างคุณทักษิณฯ ต่างก็ ลุกขึ้นมา สนับสนุน กันเป็นพรวน ดูเอาเองซิครับท่าน” เรียกว่า ยิ่งกว่า ปลาไหลใส่สเก๊ตเสียอีก "คนโกหกไม่ประพฤติชั่ว เป็นไม่มี" ท่านที่รัก.
......กิระดังที่ได้ยินมา ว่าคุณสมัครฯ กำลัง สิ้นลมปราณทางการเมืองรอมร่ออยู่แล้ว ด้วย ก่อนหน้านั้น พรรคของตนเองก็ล่มสลาย สมาชิกพรรดประชากรไทย ที่สมาชิกล้มหายตายจากไปเกือบหมด ส่วนสมาชิกพรรคคนสุดท้ายที่เคยจงรักภักดีก็ตีจากไปอยู่ในอ้อมอก รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ กทม.เรียบร้อยแล้ว คุณสมัครฯ เอง ก็เคยประกาศตัวว่าจะวางมือจากการเมืองเนื่องจากหมดน้ำยา และน้ำเลี้ยงทางการเมือง จึงไปเอาดีทาง ชิมไปบ่นไป แต่ คราวมีการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 คุณสมัครฯ ก็ลองสมัคร สว.ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย บังเอิญสอบได้เนื่องจากยังมี แฟนคลับที่ชื่นชอบลีลาของคุณสมัครฯ ยังให้การสนับสนุนคุณสมัครฯอยู่ คุณสมัครฯ จึงเกิดแรงฮึด ลุกขึ้นมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้อีกรอบหนึ่ง เหมือนคุณทักษิณฯ สมัยเป็นนายกฯ พอมีกระแสต่อต้าน วิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้น คุณทักษิณฯ ก็ประกาศจะวางมือทางการเมืองแน่นอน พอถูกกระแสเชียร์ จากบริวารที่เกาะท้องเสือทางการเมืองและกลุ่มรักทักษิณฯส่งเสียงสนับสนุน ก็เกิดแรงฮึดชูกำปั้นสำแดงเดชใหม่อีก
.....ดังนั้นจึงไม่สงสัย ว่า นายสมัครฯที่เคยเงียบมานาน หลังจาก ได้รับอาณัติจาก คุณทักษิณฯ ให้เข้ามาทำหน้าที่ สุนัข เฝ้าฝูงเกาะ และ ทำหน้าที่สุนัข ล่าเนื้อ คุณสมัครฯ จึงฟาดหัวฟาดหาง อย่างลิงโลด ที่จะสวมบท ทั้งเห่า ทั้งกัด สุดแรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตด้วยความเต็มใจ ทันที อย่างไม่รีรอ

......และเชื่อไหมว่า ..ถ้า...พรรคพลังประชาชน ไม่ได้เป็น รัฐบาล คอยดู คำพูดและลีลาคุณสมัครฯ ต่อไป ซิ ว่า จะยังคง อ้างตัวเอง เป็น "โนมินี" ของคุณทักษินฯ อีกหรือไม่แล้วดูซิว่า พรรคนี้จะเหลือสมาชิก ที่เคียงข้างคุณทักษิณฯ สักกี่คน คุณสมัครฯ คุณ"วีระฯ" แม้กระทั่ง "คุณเฉลิม" เองมาเกิดทางการเมือง ใต้ร่มธง "ประชาธิปปัตย์" ในยุคที่พรรค "ประชาธิปัตย์"รุ่งเรือง แต่ในที่สุด ก็ออกจากพรรคประชาธิปปัตย์ กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองกับ "พรรคประชาธิปปัตย์" เพราะอะไร ลองย้อนกลับไปดูไม่ใช่ขัดแย้ง เรื่องนโยบาย หรือขัดแย้งเรื่อง อุดมการณ์เลย ล้วนเป็นเพราะเรื่องของตำแหน่งทางการเมืองทั้งสิ้น
....ฝูงแกะ และสุนัขเฝ้าฝูง ตอนนี้ ยังเชื่อว่า คุณทักษิณฯ ต้องกล้บมามีอำนาจทางการเมือง จะต้องได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ล้านเปอร์เซ็นต์ ละครเรื่องนี้สนุกแน่ หากใครไม่เชื่อ คอยติดตามดู ตอนต่อไป.


อย่าตกใจปู่ฯที่ลูกแกะไม่กลับเข้าคอกของปู่ฯ

.......ปูสมัครฯ หะแรก ลิงโลด ว่าได้ฟื้นคืนชีพทางการเมือง อีกครั้ง หลังจาก เกือบ หมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ที่ ลูกพรรค หนีออก คอกประชากรไทยให้ร้างโรยรา ล่มสลายทางการเมือง แต่พอ ปู่สมัครฯ ถูกดึงให้เข้ามาคุม คอกใหม่ ทุนหนา ไม่อั้นเรื่องน้ำหล่อเลี้ยง ปู่ แก ก็ประกาศ เสียงกร้าว ว่า ผมเองนั่นแหละ เป็น “โนมินี” ตัวจริงของคุณทักษิณฯ อย่างออกหน้าออกตา เสียงดังฟังชัด ใครจะทำไม ใครจะว่า งัย มันจะผิดตรงไหน แต่พอ ลูกแกะแตกฝูงที่คิดวาส คงต้องเข้าฝูงเข้าคอกใหม่ แน่นอน แต่กลับไปรวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ ที่ประกาศตัวว่า ชาตินี้ ขอ พลีเพื่อ แผ่นดิน เพื่อชาติ เพื่อศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์ เพื่อประชาชนตาดำๆ จะสร้างพรรคใหม่นี้ด้วยอุดมการณ์อันสูงส่ง จนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย เท่านั้นแหละ ปู่สมัครฯ ถึงกับหน้าจ๋อย เสียงอ่อย บ่นพึมพำๆ ในลำคอ ลงทันที

..... ไม่ต้องตกใจหรอก ปู่ฯ มันก็อย่างงี้ แหละ นักการเมืองไทย ปู่เองก็เจอมาเยอะแล้วมิใช่หรือ เหมือนคลื่น เหมือนลม ลมเพ ลมพัด นั่นแหละ แต่ที่แน่ๆ หากพรรคไหน มีแนวโน้มว่าจะได้เป็นรัฐบาล เขาก็ กลืนน้ำลายที่เคยถ่มรดหน้าใครต่อใคร แล้วก็จะไปอยู่ซีกนั้น แต่ถ้าซีกไหน มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่ ลูกพรรคเขาก็จะหนี ออกจากอ้อมอกไป หรือ ถ้าอยู่พรรคซีกรัฐบาล หากไม่ได้ตำโหน่งตำแหน่ง ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต สักพักเขา ก็จะ ออกไปอยู่พรรคอื่น หรือ ไม่ก็ตั้งพรรคใหม่ เหมือนอย่าง ปู่ฯเอง เหมือนอย่าง คุณวีระฯ และ เหมือนอย่างน้องเฉลิม และใครต่อใคร นั่นแหละ

...... ตอนนี้ ใครเขาจะตั้งพรรคตั้งกลุ่มอะไร ประกาศจุดยืนทางการเมือง เป็นทางเลือกที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก อย่างงัย จะไปจับขั้วอะไรกับใครก็แล้ว แต่ ที่สุดแล้ว พออัดเงินเข้าไป พอเสนอตำแหน่งทางการเมืองให้ และหากได้เป็นฝ่ายรัฐบาล เดี๋ยวพวกนี้ ก็กลับมาเอง มันเป็นสัจธรรมทางการเมืองของเมืองไทย นั่นแหละ ปู่ฯ.



kunkorn@msn.com

วันเสาร์, กันยายน 22, 2550

สนับสนุนเผด็จการสภา ? หรือจะสนับสนุนการยึดอำนาจเผด็จการสภา ?


Kalamasuetara


.......ขอออกตัวเสียก่อนว่า ผู้เขียน ไม่ใช่พวก นิยมลัทธิทหาร และก็ไม่ชอบการปฏิวัติรัฐประหารด้วย แต่เป็นคนที่เคยร่วมเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 หากแต่นิยมเดินแนวทางการปฏิรูปความคิดและปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงสังคม และเคยเป็นพวกที่ก้าวออกจาก เมืองเข้าสู่ชนบทอออกไปทำโครงการหมู่บ้านสหกรณ์ และแม้กระทั่งรับราชการ รักความเป็นธรรม รักความยุติธรรมมาตลอด ไม่นิยมชมชอบกับการใช้กำลังความรุนแรง เข้าบังคับขืนใจบุคคลอืน


....... กรณีการรัฐประหารผมขอบอกได้เลยว่า ผมไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหารหรือเผด็จการพลเรือน
ก็เพราะว่าผมเองก็เป็นเคยเป็นคนที่เคยร่วมอยู่ในการต่อต้านเผด็จการทหาร ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาแล้ว


...... กรณีการทำรัฐประหารยึดอำนาจของ พล.อ.สนธิฯ หรือ คมช. ในคราวนี้ ผมบอกได้เลย ว่า ความรู้สึกของผมมันต่างจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะอะไรผมถึงได้กล่าวออกมาเช่นนั้น

......ก็ต้อง ตั้งประเด็นคำถาม เพื่อวิเคราะห์ วิจัย ที่ละข้อ ดังนี้

... การรัฐประหารยึดอำนาจในคราวนี้เป้าหมายการรัฐประหาร..... ทำเพื่ออะไร ? ทำไมถึงต้องทำ ?

... มี สถานการณ์การความจำเป็น ที่เหมาะสม ที่เป็นปัญหา ในสังคมไทย ที่จำเป็นยึดอำนาจ หรือไม่เพียงใด?

...เงื่อนไข คำสัญญาว่า เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาที่คับคาใจประชาชน เป็นที่พอใจประชาชน เพียงใด ?

....คมช.โดย พล.อ.สนธิฯ ได้ทำตาม สัญญาที่เคยบอกไว้ หรือ ไม่ ?

...คมช.เข้ามาคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ริดรอน สิทธิและเสรีภาพของ สื่อ ของ ประชาชน แบบเผด็จการทหารในอดีต หรือเปล่า ?



......อย่าสักแต่ พูดแบบคนละเรื่องเดียวกัน มันจะสร้างความสับสน ให้กับสังคมไทยว่า ปัญหาที่แท้จริงก่อนที่รัฐบาล คุณทักษิณฯ จะถูกยึดอำนาจ คืออะไร ใครเป็นคนสร้างปัญหา ไม่ควรทำตัวเหมือนกบเลือกนาย อะไรก็ไม่เห็นด้วย อะไรก็ไม่ดีสักอย่าง แล้วจะให้ทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในตอนนั้น ซึ่งการยึดอำนาจในครั้งนี้ เป็นการยึดอำนาจ คุณทักษิณฯ ในช่วงที่ คุณทักษิณฯ กำลังมีอำนาจทางการเมือง จนล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะด้วยท่าที และคำพูดของคุณทักษิณฯ แข็งกร้าว ล้วนเป้นการยั่วยุความโกรธเคือง จนสามารถสร้างศัตรูไว้เป็นจำนวนมาก อย่างสถานะการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้ กรณี การพูดจาเสียดสี เย้ยหยัน อาจารย์ ธีระยุทธ บุญมี และนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลุ่มพันธมิตรต่อต้านทักษิณฯ และใครต่อใครอีกหลายคน


...... ที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น ผมมิได้รู้จัก คุ้นเคย และผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับ พฤติกรรมบางอย่างของบุคคลเหล่านั้นด้วย
แต่เนื่องจาก ในช่วงนั้น สถานการณ์บ้านเมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ คนไทยด้วยกันเองกำลัง ลุกขึ้นเผชิญหน้าเข้าห้ำหั่นกัน วิถีทางรัฐสภาไม่เปิดโอกาสให้ พรรคฝ่ายค้านสามารถอภิปรายในเรื่องต่างๆที่คาใจ และ ข้อกล่าวหาเรื่องการ ทุจริตซุกหุ้น การพยายามเข้าแทรกแซงสื่อ การส่งคนของตัวเองเข้าแทรกแซงเข้าไปในองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ การเอาสมัครพรรคพวก และญาติ พี่ น้อง เข้าไปมีอำนาจในกองทัพ แล้ววงการต่างๆ อย่างขนานใหญ่ การหลีกเลี่ยง การเสียภาษีเงินได้จากการขายหุ้น การหาผลประโยชน์ของลูกเมีย ญาติ พี่น้อง แลเรื่องอื่นๆ อีกมากมายโดยการออกกฏหมายเพื่อหลีกเลี่ยง จนอาจารย์ธีรยุทธฯและหลายคน เรียกว่าเป้นการทุจริตเชิงนโยบาย ที่สังคมไม่ได้รับคำตอบและคำเฉลย ตรงข้ามกลับ มีกระแสข่าว การใช้เงินซื้อ ผู้ที่เป็นกรรมการพิจารณา ในคดีต่างๆ เพื่อปกปิด เบี่ยงเบน ประเด็นของอดีตนายกทักษิณฯ มันจึงได้เพิ่มดีกรีของความกดดัน กับความเคียดแค้นชิงชัง ของหลายฝ่าย อย่างที่สุด และสุดท้าย ก็คือความขัดแย้งกับ พล.อ.สนธิฯ ในเรื่องการแต่งตั้งถอดถอนตำแหน่ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันก็เป็นแรงกดดัน จนถึงขั้นแตกหักถึงขั้นยึดอำนาจ ในครั้งนั้น



...... ดังนั้น ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ การยึดอำนาจของทหารในครั้งนี้ จึงมีความแตกต่างจาก การรัฐประหารยึดอำนาจ กับทุกครั้งที่ผ่านๆมา โดยสิ้นเชิง เพราะ
ประการที่ 1 ประชาชน ส่วนใหญ่ เริ่มไม่พอใจระบอบทักษิณฯ ที่เริ่ม มีการใช้อำนาจควบคุม และแทรกแซงสื่อฯ และแองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ
(เหมาว่าประชาชนทั้งประเทศ ไม่พอใจ ทักษิณฯ คิด เป็นร้อยละ 60 เหมือนกับที่ นักวิชาการบางคน เหมาว่า ผลการลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 64 : 46 แปลว่า ร้อยละ 46 ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหารของ คมชฺ แล้วกัน)
ประการที่ 2 เริ่ม เกิดความไม่โปร่งใส ในเรื่อง คดีซุกหุ้น และเรื่อง การทุจริต ซึ่งไม่ได้รับการ สะสางตามกระบวนการที่โปร่งใส มีเงื่อนงำมาตลอด
ประการที่ 3 เริ่มมีการแทรกแซง สื่อ ทั้งของรัฐ และของเอกชน
...... ประการที่ 4 คุณทักษิณฯ ได้ สร้างความแค้นเคือง เจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยวาจา ให้กับนักวิชาการหลายคน รวมทั้ง นายธีระยุทธ บุญมี ด้วย
...... ประการที่ 5 ท่าทีที่แข็งกร้าว ท้าทาย การดูแคลน กองกำลังก่อการร้าย และแนวร่วมภาคใต้ จนทำให้สถานการณ์รุนแรง จนถึงขั้น ฆ่าตัดคอ วางระเบิดใจกลางเมืองทุกวัน เพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐ ครู และประชาชนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อย่างบ้าคลั่ง กว้างขวางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


......ดังนั้น ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น การปฏิวัติรัฐประหารครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นที่สะใจของคนหลายคน หลายวงการอย่างช่วยไม่ได้ ผมเชื่อว่า บุคคลเหล่านั้น มีความสะใจ พอใจที่ คุณทักษิณฯ ถูกยึดอำนาจมากกว่า ความพอใจเรื่อง ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจเพราะคงไม่มีใครอยากให้เมืองไทยถูกรัฐประหารแน่นอนอยู่แล้ว

......ส่วนการปฏิวัติรัฐประหารในครั้งก่อน 14 ตุลาคม 16 เป็นเรื่องของการที่ใช้อำนาจทางทหาร เข้ายึดอำนาจ แล้ว เข้ามาปกครองประเทศ เป็นรัฐบาลคุมอำนาจ ล้มระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ทางรัฐสภาแม้กระทั่งเข้าควบคุมสื่อทั้งหมด ทุกอย่าง อย่างสิ้นเชิงเบ็ดเสร็จ

...... ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยใจเป็นกลาง ด้วยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายจริงๆ โดยยึดถือความเป็นไปของบ้านเมืองเป็นหลักจริงๆ ผมขอตั้งคำถาม ว่า
...... ถ้า พล.อ.สนธิฯ ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ ห้ามมีการชุมนุมทางการเมือง ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง โดยการใช้ อำนาจคณะปฎิวัติจับกุม คุมขัง ยกเลิกศาลยุติธรรม และใช้ศาลทหารสถานเดียว เหมือนครั้งก่อนๆนี้ ผมขอถามว่า อย่างสมาชิกแกนนำ คมช. ก็ดีนักวิชาการบางคน ก็ดี ที่ตอนนี้เริ่มออกมา พูด กันอย่างเก่งกล้าสามารถ จะมีใครกล้าออกมาพูดอย่างนี้ไหม? พูดแล้ว เหมือน ชวนตีหรือเปล่า ก็ในเมื่อ คมช.เอง เมื่อทำรัฐประหารยึดอำนาจเสร็จ ก็ ถอยออกมา อยู่เบื้องหลัง โดยให้ พล.อ.สุรยุทธฯ มาเป็น นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยแก้จุดเสีย และ เพิ่มเติมจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ ปี 40 ออกให้ ประชาชนพิจารณา ลงประชามติ รับร่าง ไม่รับร่าง จนผลออกมาได้ เปอร์เซ็น 64:46 เรียบร้อยไป แล้ว และกำลัง จัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้ว
ผมว่า ไหนๆ รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง ก็จะพ้นจากตำแห่ง หมดวาระ ในอีกไม่วันนี่แล้ว ผมว่า เลิกพูดเรื่องนี้ ซ้ำซาก เหมือคนไม่รู้เรื่องอะไรดีกว่า อย่าสักแต่ว่า มีปากกาคิดอะไรได้ก็จะเขียน โดยไม่คิดถึงผลกระทบทางสังคม
ที่กล่าวเช่นนี้ ผมมิได้หมายความว่า จะต่อต้านการรัฐประหารไม่ได้ จะวิจารณ์การัฐประหารไม่ได้ จะด่าการรัฐประหารไม่ได้ ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา นั่นไง ที่ถือว่าเป็นการ ต่อสู้ วิพากษ์ วิจารณ์ ต่อต้านเผด็จการแบบถูกต้องชอบธรรมที่สุด เพราะ เป็นการต่อสู้ในท่ามกลาง 3ทรราชย์ ที่กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นการรัฐประหาร ในช่วงเหตุการณ์ที่สังคมเริ่มมีความขัดแย้งสูง คนไทยเริ่มแบ่งเป็นสองขั้ว อย่างเห็นได้ชัดเจน ว่า ขั้วที่หนึ่งสนับสนุน คุณทักษิณฯ อีกขั้วหนึ่ง คือผู้ต่อต้าน คุณทักษิณฯ กำลังใช้กำลังเข้าเผชิญหน้ากัน อีกด้านหนึ่ง ความขัดแย้งในสภาที่ เกิดความขุ่นข้องหมองใจ การใช้อำนาจ ทางการเมือง ในฐานะผู้ที่กุมเสียงข้างมากในสภา รวมทั้งที่ มีกระแสการวิพากษ์ วิจารณ์ ว่า คุณทักษิณฯ ใช้เงินซื้อ บุคคลในวงการต่างๆ รวมทั้งการ ส่งคนของตัวเอง เข้าไปแทรกแซง ในองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่เปิดโอกาสให้ ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยสามารถใช้ วิถีทางรัฐสภา เปิดการอภิปรายได้อย่างนี้ ยอมรับไหมว่า เป็นการสร้างความกดดันทางการเมืองให้กับพรรคฝ่ายค้าน นักวิชาการและกับวงการต่างๆในสังคม จำนวนบุคคล จำนวนสถาบัน จำนวนองค์กร เริ่มลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ คุณทักษิณฯ ลาออก มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

.......จวบจน กระทั่ง พล.อ.สนธิฯ ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่ง เริ่มถูกกดดัน จาก คุณทักษิณฯ อีกคนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่า จะเป็นเหตุผล และเป็นปัญหาส่วนตัวก็ตาม แต่ถ้าประชาชน ณ ขณะนั้นไม่มีใครเห็นด้วยกับการยึดอำนาจรัฐจาก คุณทักษิณฯ แล้ว ผมขอถามหน่อยว่า อย่าว่าแต่พวก นปก. หรือพวก ที่กำลัง ต่อต้านการรัฐประหาร หรือต่อต้าน คมช.เลย ผมเอง และเชื่อ ว่า คนไทย อีกเป็นแสน เป็นล้าน ที่มีความคิดต่อต้านการรัฐประหาร จะต้องลุกขึ้นมา ต่อต้านร่วมด้วยแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ และขอตั้งคำถามหน่อยว่า หากว่า พวกที่กำลังต่อต้าน การรัฐประหารในครั้งนี้ คิดว่า มีเหตุผลและแน่จริง ทำไม ตอนที่ พล.อ.สนธิฯ ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ ใหม่ๆ ทำไมจึงไม่เห็นมีใคร กล้าพูด กล้าต่อต้าน การทำรัฐประหารยึดอำนาจในตอนนั้น เหมือนวันนี้เลย หรือจะเข้าตำรา ว่า ได้คืบก็จะเอาศอก

.......ที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้มีจิตใจอยากให้เมืองไทย มีการยึดอำนาจทำรัฐประหารโดยทหารเลย ด้วยความสัตย์จริง ผมเองเกลียดการรัฐประหาร การยึดอำนาจ ไม่ว่าจะโดยใช้กำลังทหาร หรือจะโดยการซื้อเสียงในสภาด้วยซ้ำไป ดังนั้น จึงขอให้ คนที่จะขึ้นมามีอำนาจ มี หิริ โอตัปปะ มีคุณธรรม มีจริยธรรม ใช้ท่าทีแบบอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจา ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ดูถูกผู้ที่ตนไม่เห็นด้วย ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และซื่อสัตย์สุจริตอย่างจริงใจ ไม่ใช่ ซื่อสัตย์แต่คำพูด แต่ทุจริตเชิงนโยบาย อย่างที่ผ่านมา เชื่อได้เลย ว่า หากใครคิดจะทำรัฐประหารยึดอำนาจอีก ผม และ เพื่อนๆร่วมชาติอีกเป็นล้าน ก็คงจะลุกขึ้นเข้าป่าจับปืน สู้กับระบบทรราชย์เหมือนกับเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ไม่ปล่อยให้ นปก.หรือ ใครบางคน ต้องเหน็ดเหนื่อย อดหลับอดนอน ตากฝนตากลม ตามท้องสนามหลวง หรือ ตามถนนหนทาง เพียงกลุ่มเดียว ล้านเปอร์เซ็นต์เต็มอย่างแน่นอน หรือ ถ้าจะบอกว่าที่ต่อต้าน ที่เรียกร้องทั้งหมดเพื่อจะเอาคุณทักษิณฯเสียอย่าง ผิดถูกไม่สน อย่างนี้ไม่ต้องอ้างประชาธิปไตย ไม่ต้องอ้างรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องอ้างเหตุผลอื่นๆเลย พูดอย่างเดียวจะเอาทักษิณฯ ก็พอ จะได้ไม่ต้องสาธยายให้ยืดยาว และหากว่า คุณทักษิณฯ ไม่ได้ กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก หากคุณทักษิณฯ หมดเนื้อหมดตัว ด้วยเหตุอันใดก็ดี ผมจะลองดู ซิว่า จะเหลือ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ยังอยู่เคียงข้างกับคุณทักษิณฯ สักกี่คน .

วันอาทิตย์, กันยายน 16, 2550

การเมืองเป็นเรื่อง ละครหลังข่าว(น้ำเน่า ..ตามเคย)


......ระยะนี้ กะพ๊ม เริ่มจะได้เห็น นักการเมืองที่รักของกะพ๊ม ได้มีโอกาส ออกแถลงข่าว วี๊ดว้ายกระตู้ฮู้ ยืดเส้น ยืดสายได้สำแดง น้ำจิตน้ำใจ สำแดง เลือดแห่งความรักชาติ รักแผ่นดิน รักประชาชน ตาแดงๆ อย่าง กะพ๊ม กัน ที่ละคนสองคน ผมหละ ดี จ๊ายดี จาย จนน้ำหู น้ำตาไหล พรากๆ ออกมาเป็นสายเลือดไห้ได้ นักการเมืองของเรา นี่แหละ สู้อุตส่าห์ เสียสละความสุขความสบายส่วนตัว ออกมารับใช้ชาติ รับใช้ ประชาชน เพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน อันเป็นที่รักยิ่งของกะพ๊ม บรรดาท่านๆเหล่านั้นสู้อุตส่าห์ ลืมความหลังความทรงจำความขมขื่นลืมที่เคยกัด.. เอ๊ยขัดกัน ทั่นสู้อุตส่าห์ หันหน้าเข้าหากัน มา สามัคคี จูบปาก เลียน้ำลายที่เคยถ่มรดกัน เห็นไหม ว่า ทั่นเหล่า นั้น มีความเสียสละ มี สปิริตและ มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างเลอเลิศประเสริฐศรี ขนาดไหน? (เสียง..ปรบมือ กราวววว.....มีผิวปาก ด้วย)


......นักการเมือง เมืองไทย ตั้งแต่กะพ๊ม เกิดมาเป็นตัวเป็นคน กะพ๊มเอง สาบานแทนให้ก็ได้ว่า ไม่เห็นมีนักการเมืองคนไหน ไม่รักชาติ ไม่รักประชาชน ไม่ยินยอมเสียสละความสุขส่วนตัว รับตำแหน่งทางการเมือง สักกะคน แต่กะผ้มก็ยัง มึนๆ งงๆ ว่าทำมัย พอทั่นเหล่านั้น ไม่ได้รับตำแหน่ง ในพรรคก๋ดี ไม่ได้ตำแหน่งทางการเมือง ก็ดี ทำไม ทั่น จึงต้องลาออกมาตั้ง พรรคใหม่ แล้วก็ประกาศเป็นพรรคทางเลือกใหม่ทุกทีเลย แต่ที่แน่ๆ ประชาชนอย่างกะพ๊ม ก็ ยังคงยากจนค่นแค้น ปากกัด ตีนยัน อยู่วันยังค่ำ รับราชการถ้าไม่มี เส้นไม่มีสาย ทำงานให้ตาย โหงตายห่า ก็คงไม่ได้ดิบได้ดี แต่ที่รู้ๆ เห็นๆ นักการเมือง ร่ำรวยกันทุกคน ญาติ พี่น้อง คนใกล้ชิด เห็นได้เป็นใหญ่เป็นโต กันเป็นทิวแถว ดูนามสกุลก็รู้ๆกันอยู่


..... นายกรัฐมนตรี ของ ญี่ปุ่น เฮียแก ชื่ออะไร เนี๊ยะ ผมจำไม่ค่อยด้าย ซือเบ๊ยๆ อะรัยเนี๊ยะ พอรัฐมนตรี ร่วมรัฐบาล มีข่าวว่า คอรัปชั่น เท่านั้น เฮีย ดัน เสือกลาออก ซะ หนิ ใจเสาะ เป็นบ้า เป็นหลัง e-ธ่อ ผมบอกแล้วว่า สู้นักการเมืองเมืองไทย ไม่ได้ สักกะผีก ขนาด แดก เอ้ย กิน เอ๊ย รวยล้นฟ้า ไม่รู้กี่ คดี ก็ยังเห็น หน้าด้าน เอ้ย โผล่หน้า ตะโกนปาวๆ อย่างไม่สะทกสะท้านผิวหน้า เรียกว่ายิ่งรักชาติ ยิ่งรักประชาชน ตาแดงๆ อย่างคนอีสาน คนเหนือ ยิ่งจนลงๆ เลย จริงๆ แบบนี้ จะไม่ให้กะผ๊ม ดีจ๊ายๆ ดีจาย ที่เห็นบรรดา ท่านเหล่านั้น สู้อุตส่าห์แย่งกันออกมาสำแดงความรักชาติ รักประชาชน รักแผ่นดิน ยอมเสียสละชีพเพื่อชาติ ทนความลำบากลำบนยื่นหน้ามาออกไมค์ ออกกล้อง เพื่อเห็นแก่ชาติ แก่บ้าน แก่เมืองจนตัวสั่น น้ำลายฟูมปาก กันเป็นทิวแถว กะพ๊มหละ ซาบซึ้งในน้ำใสจายจิงของท่านเหล่านั้น กะพ๊มหละ น้ำตาไหลพราก ๆ สงสาร การเมืองเมืองไทยจริงๆ ว่า เป็นเวรกรรมอะไรของบ้านเมืองเรา ทำไม การเมืองไทยถึง น้ำเน่าอย่างนี้ นักการเมืองของเรา แต่ละคนก็ออกจะ ดีดี มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ เสียสละ กันทางน๊านนนนนนน


....ท้ายที่ สุดที่กะพ๊ม ต้องอดหลั่งน้ำลาย เอ๊ย น้ำตาแห่งความปลื้ม แบบสุดๆ ไม่ได้ (โทษที กะพ๊ม หละ ชอบเพิดผิด อยู่เรื่อยๆ ขออภัยมณี ผมเมา อุดมการณ์ ของนักการเมือง ยุค ใหม่ ขออย่าถือสากกะเบือผม เลย )ใน ความเสียสละ อัน ยอดเยี่ยม แห่งศตวรรษ คือ การ ยินยอม บริจาค ชื่อพรรค อันเป็นที่รักยิ่ง ของท่าน ที่ทั่นนั้นรักยิ่งกว่าลูกบุญธรรม รักยิ่งกว่ากว่าเมียน้อย อีก น๊ะ จาบอกให้ ท่านสู้ยินยอม กัดลิ้นเสี่ยเติ๊ง จนเกือบขาด มาบริจาคพรรคของทั่น ให้ บรรดา สหายร่วมอุดมการณ์ ที่ จะต้องมาร่วมกัน กู้ ชาติ กู้แผ่นดิน คราวนี้ ( เสียง ปรบมือ เกรียววววววววววววว )..เพื่อให้ "ท้องฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ กูจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" (ละหวา ครานี้)(เสียง ปรบมือ กระทืบเท้า พร้อมกับเสียง ใครก็ ไม่รู้เสือก อ๊วกออกมา)

วันศุกร์, กันยายน 14, 2550

" โทษที อย่า ซี้ซั๊ว เหมา "


กรณี ที่การ ลงประชามติรับร่าง ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ ผลออกมาคือ
รับ : 14,249,520 คิดเป็น 56.7 %
ไม่รับ : 10,419,912 คิดเป็น 41.4 %
บัตรเสีย : 479,715 คิดเป็น 1.9 %

หลังจากนั้นก็ ได้มีการวิจารณ์ แสดงความคิดเห็นกัน ต่างๆ นานา จนเหมือนกับว่าคนพูดเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของ คนเป็นล้านๆ อย่างงั้นแหละ แต่ตอนที่ผลยังไม่ออก ไม่เห็นว่า จะเข้าไปสมอ้างรู้อะไรก่อนเลย ..เหตุ ก็คือ กลัว ผิด เสียหน้า พอตัวเลขออกมาเรียบร้อย ละที่นี้ ศาสดาจารย์ ทั้งหลาย ละพูดเหมือนตาเห็น เหมือน รู้ใจคนเป็นล้าน คิดอะไร กัน บ้าง เก่งเป็นบ้า
ซึ่ง ความจริง การวิจารณ์ วิจัย ผลการลงประชามติ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหรอก เพราะมันเป็น การประเมินทางสถิติ แต่ ที่ ผมขอท้วงติง ก็ ตรงที่ว่า การวิจารณ์ เป็นการด่วนสรุป ความคิดของคนลงประชามติ ในความคิดของนักวิจารณ์ ความคิดของคนลงประชามติ มีหลากหลายมากมาย เช่น ผมลงประชามติว่า รับร่าง ไม่ใช่หมายความว่าผมจะเห็นด้วยกับการรัฐประหาร ก็หาไม่ และก็ไม่ใช่ว่าผมจะเห็บชอบกับ รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็ไม่ใช่ แต่ เหตุผลของผมที่รับร่างฯ และเห็นด้วยกับการ รัฐประหารในช่วงนั้น ก็เพราะ อยากให้ทักษินถูกตรวจสอบบ้าง อยากให้ทักษิน ลดความอหังการ์ลงซักที แต่ทำไม่ได้สักอย่าง อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากช่วงปลายรัฐบาลทักษินฯ สถานการณ์เริ่มรุนแรง ทั้งในภาคใต้และในใจกลางกรุงเทพมหานคร อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะ ทักษิน ชอบ พูดจาท้าทาย ยั่วยุ ดูแคลนนักวิชาการ หนังสือพิมพ์ เข้าไปแทรกแซง วงการทางการเมืองการปกครอง สถาบันตุลาการ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ มากมาย มีการสร้างอำนาจ ให้กับตนเอง คนไทยเริ่มขัดแย้งจนถึงขั้นใช้กำลัง เข้าเผชิญหน้ากัน ใช้อำนาจที่มีอยู่ แก้ไข เปลี่ยนแปลง กฏหมาย จนผมเอง นึกว่า อยากให้ สภาฯตรวจสอบและ อภิปรายกันในสภา แต่ก็ทำไม่ได้ สักครั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มีข้อจำกัด จึงอยากให้ ใครสักคน เข้ามายึดอำนาจ ให้ทักษินลงจากอำนาจ แล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไข การที่ผมคิดอย่างนี้ไม่ใช่หมายความว่า ทักษินไม่ดี ก็หาไม่ ผมนิยมชมชอบความฉลาด ผมนิยมชมชอบ ที่ทักษิน เก่งในเรื่อง การแก้ไข ปัญหาเศรษฐิจ และอื่นๆอีกมาก แต่ผมไม่ชอบคนหลงตัวเอง ผมไม่ชอบ การใช้อำนาจ การใช้อภิสิทธิเหนือ ผมต้องการให้ผู้บริหารบ้านเมือง มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความ อ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างคนไทย ไม่ใช่ สร้างความขัดแย้งในบ้านเมือง
นักวิจารณ์บางคน ที่ออกมาพูด หลายท่านวิจารณ์ ไปตาม ทัศนคติ และมุมมองของตนเอง แบบเหมารวมเป็นเข่ง ไปตามภูมิปัญญาของคนพูด โทษที ถ้าคนวิจารณ์คิดผิด มันทำให้ สังคม วุ่นวายได้เหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้น แล้ว หาก ไม่รู้จริงหรือคิดว่า จะทำให้คนสับสนไปตาม ภูมิปัญญาอันงี่เง่าของคนพูด อย่าเพิ่งด่วนวิจารณ์ไปเลยดีกว่า เพื่อเห็นแก่ ชาติ บ้านเมือง ที่ทุกวันนี้ กระแสความงี่เง่า ความดื้อรั้น มองปัญหาด้านเดียว สวนกระแสสังคม ของคนดันทุรัง ที่สามารถสร้างความนิยม คล้อยตาม มากมาย น่าหนักใจพออยู่แล้ว

วันจันทร์, สิงหาคม 27, 2550

สังคมวุ่นหากใช่.... เพราะคนโง่ ดอก??


ทุกวันนี้ ที่สังคมไทยเราวุ่นวาย ขัดแย้ง แทบจะรบราฆ่าฟันกันตาย ล้วนเกิดจากความฉลาดของคนในยุคนี้ ทังนั้น แต่ตรงข้าม ยามเมื่อคนไทย ยังด้อยการศึกษา ประชากรยัง เรียนไม่มาก หรือที่เราคิดว่าตัวเองยังไม่ฉลาด เราจะรู้รักสามัคคี กัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ต่างเคารพ เชื่อฟังกัน
ดูแต่สถานการณ์ปัจจุบันซิ ต่างคนต่างฉลาด ต่างคนต่างเก่ง ไม่มีใครคิดว่าตัวเอง โง่ ไม่มีใครคิดว่าตัวเองผิด สมัยก่อนพอ ผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโส บอกว่า อย่าทำ เด็กๆ ก็ จะกลัว ไม่กล้าทำกันแล้ว หากผู้ใหญ่ สอนอะไร เด็กๆก็จะ เชื่อฟัง สมัยนี้ ครูต้องกลัวเด็ก พ่อแม่ ต้องกลัวลูก ขนาด ว่า เด็กนักเรียนไม่พอใจครู นักเรียนเดี๋ยวนี้ ใช้ไม้หน้าสามตีครู จนตาย แม้กับพระ ก็ยังกล้าฆ่าพระกันแล้ว ไม่กลัว ตกนรก กับศาล ยังกล้าวิจารณ์ กล้าลองดี กับประธานองคมนตรีซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแต่งตั้ง ก็ ยังกล้าปลุกม็อบ ขับไล่แบบไม่เคารพเกรงใจเบื้องสูง เพียงเพราะอ้างว่า สนับสนุนการการรัฐประหารรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยไม่ต้องดูว่า เหตุและปัญหา หรืออะไรผิดอะไรถูก แล้วต่อไปนี้อะไรมันจะเหลือ

นักการเมืองกลัวเงิน นักการเมืองกลัวไม่ได้เป็นพรรครัฐบาล ความเชื่อ ความรัก ความศรัทธา ความซื่อสัตย์ จริงใจ ของผู้คน หมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือ เงิน อำนาจ ผลประโยชน์ ที่คนจะเชื่อฟัง ยอมกายถวายตน และที่เรียกว่าอุดมการณ์ หลักการ เหตุผล มันเพียง ข้ออ้าง ที่หยิบยกเอามาพูด มาอ้างกันตามทฤษฎี ตามตำรา ที่ร่ำเรียนกัน
แต่ว่ากันตามความเป็นจริง ความฉลาดจริงๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่ที่เป็นปัญหากับสังคม เป็นความฉลาด แกมโกง เป็นความฉลาดแบบเห็นแก่ตัว เป็นความฉลาดของมือปืนรับจ้าง เป็นความฉลาดของนักการเมือง ของเมืองไทย ตะหาก

ห่วงก็แต่ชาวบ้าน ที่ไม่รู้ ความจริง เมื่อได้ ฟังลีลาการพูดแบบน้ำไหลไฟดับ จริงมั่ง เท็จมั่ง เมื่อวานพูดอย่าง วันนี้ พูดอย่าง ชาวบ้านคิดไม่ทันฟังไม่ทัน ของลีลามืออาชีพ เท่านั้น ก็ คล้อยตามเลือดขึ้นหน้า ให้กูไปตายกูก็ตาย ว๊ะ
ใคร ก็ ได้ ที่ พล่ามว่า กู เป้นนักการเมืองที่แท้จริง มีอุดมการณ์ รักชาติ รักประชาชน กู ตั้งพรรค กูเข้าพรรคโน้นพรรคนี้ เพื่อ ชาติ เพื่อสังคม เพื่อประชาชนตาดำๆ ลอง ลุกขึ้นมาพูด ซิ ว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อเงิน ไม่ได้ทำเพื่ออำนาจ ลอง ดูซิว่า หาก ใครเอาเงินมาทุ่ม หรือ บอกว่าจะให้ ตำแหน่ง ให้เป็นรัฐมนตรี รัฐมนโท เป้นที่ปรึกษา มีเงินใช้จ่าย ดูซิว่า จะ ไม่เปลี่ยนพรรคเปลี่ยนหนัง หรือในทางตรงกันข้าม หากพรรคที่ตัวเองสังกัดไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือไม่ได้ร่วมรัฐบาล สักสมัย สองสมัย ดูซิว่า จะเหลือ สมาชิกพรรคสักกี่ตัว...เอ้ย จะเหลือสมาชิกสังกัดพรรคสักกี่ท่าน ไม่เชื่อ งวดนี้ พวกเรา ลองติดตามดูตอนต่อไป