วันศุกร์, ตุลาคม 26, 2550

ละครน้ำเน่า ก็ยังคง อยู่ ตามเคย


.....
ละครน้ำเน่า ยังอยู่ ก็เพราะมีคนดู

.....นักการเมือง น้ำเน่า ก็ยังอยู่ เพราะยังมีคนเลือก กระนั้น หรือ ?
เวทีการเมืองไทย ก็ยังคงเหมือนเดิม
ความผันผวน ทางการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของเมืองไทยที่ผ่านมา เกิดเพราะอะไร ?
ประชาชน ขาดจิตสำนึกทางการเมือง เห็นแก่ เงินที่นักการเมือง หยิบยื่น เศษเงิน เอามาให้ หรือ ?
นักการเมือง มีอุดมการณ์ แต่ไม่มีคุณภาพ หรือ ?
นักการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ หรือ ?
นักการเมือง มีความรู้ มีความสามารถ แต่ขาดจริยธรรม หรือ ?

.......ไม่ต้อง พูดเรื่องอุดมการณ์เลย ใครๆก็พูดกันได้ อุดมการณ์ของนักการเมืองสร้างขึ้นมาได้เป็นรายวัน และมันก็สามารถ เปลี่ยนได้เป็นทุกนาที

.......วันๆก็คิดแต่เรื่อง ว่าจะผสมพันธุ์กับพรรคไหน ใครอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะคอยนั่งดีดลูกคิดรางแก้ว ว่าจะสามารถรวบรวม สรรหาอดีตสส.ให้อยู่ในมือได้สักกี่คน แล้วก็พยายามประมูลซื้อตัว ขายตัวกันวุ่นวาย นี่หรือนักการเมืองไทย? คิดได้เพียงแค่นี้ เองหรือ ?

....... ผมเสียดายระยะเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้อง โหยหา เสรีภาพทางการเมือง การปกครอง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ปลดแอกจากเผด็จการทหารที่ยึดกุมอำนาจรัฐ กดขี่ข่มเหง ปิดหู ปิดตาประชาชน เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง ตัวแทนของประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ แทนประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน แต่จนแล้วจนรอด เมืองไทยเราก็ยังไม่พ้นวงจรอุบาทว์จนได้

....... ในคราว ดร.ทักษิณฯ เป็นนายกรัฐมนตรี หะแรกก็ทำท่าว่าจะดี ที่เราได้คนเก่ง คนฉลาด คนที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ นำพาเศรษฐกิจของชาติให้ก้าวล้ำหน้า แต่ในที่สุด ด้วยรัฐธรรมนูญ เอื้ออำนวยให้ผู้ที่เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล มีเสถียรภาพทางการเมือง เนื่องจากบทเรียนของรัฐบาลยุคที่ผ่านมา สองสามสมัย พรรคที่เข้ามาจัดตั้งเป็นรัฐบาล กลายเป็นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพทางการเมือง เพราะเป็นรัฐบาลผสม ต้องผสมผสานกับพรรคการเมืองอื่น และรัฐธรรมนูญ ปี 40 จึงได้สร้างภูมิคุ้มกันนายกรัฐมนตรี มิให้ถูกอภิปายได้ง่ายเกินไป ไม่ต้องมาอยู่ในวังวนของการถูกพรรคฝ่ายค้าน ปักหลักอภิปราย ลูกเดียว เพื่อให้รัฐจักมีเสถียรภาพ ในทางการเมืองการปกครอง การบริหารประเทศชาติ จักได้เข้มแข็งเด็ดขาด สามารถนำพาประเทศชาติเจริญรุดหน้ากับเขาสักที ไม่ต้องบริหารประเทศชาติทำอะไรกันสักที เพียงแค่ต้องถูกพรรคฝ่ายค้าน เสนอญัตติขอเปิด อภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเดียว ก็ไม่ต้องทำอะไร พอดีก็หมดสมัยแล้ว ( แต่ที่แน่ๆ ถ้าเราไม่ขึ้ลืมจนเกินไป นักการเมืองพวกที่เป็นดาวสภาจุดประเด็น อภิปรายสั่นคลอนฝ่ายรัฐบาลในสมัยนั้นๆ จนรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศชาติได้อย่างมีเสถียรภาพ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นดาวสภาเจ้าเก่า ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่ เรียกว่าแทรกเป็นยาดำ สร้างความน้ำเน่า น้ำครำในวงการเมืองมาตลอดทุกยุคทุกสมัย )


ทีนี้ พอ รัฐธรรมนูญ พยายามแก้จุดอ่อนของผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจง่ายๆ ก็กลายเป็นจุดอ่อนให้เกิดการดูด ซื้อ สส.ให้เข้ามาสังกัดมากขึ้น จึงทำให้เกิดเผด็จการในสภา พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรี และการอภิปรายรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลก็ทำไม่ได้ง่ายนัก พรรคพวกก็ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี ทำให้ไม่สามารถอภิปรายได้เลย แบบนี้จะให้เรียกว่าอะไร?


การบริหารประเทศชาติ เป็นเรื่อง ของการใช้อำนาจรัฐ เป็นเรื่องของการกระทำแทนประชาชนทั้งประเทศ เป็นเรื่องของ ผลประโยชน์มหาศาลหากว่าพรรคฝ่ายค้าน หรือประชาชน ไม่มีสิทธิ์สอบถาม ไม่สามารถตั้งประเด็น ซักไซร้ ไล่เรียงแบบนี้ ถามว่า บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เรายังไม่ต้องพูด ว่า อะไรผิด อะไรถูก บริหารงานแบบไม่ฟังเสียงใคร สร้างศัตรูทางการเมือง สร้างความกดดันในภาคใต้ สร้างความกังขาในเรื่องของ ผลประโยชน์ และการใช้อำนาจ ชนิดที่ไม่สามารถซักฟอกกันได้เลย มิหนำซ้ำยังสร้างความกังขาในกระบวนการ ฯ.............ที่ แม้ไม่สามารถ ฟันธงชี้ชัดได้ว่า ผิด หรือ ทุจริต หรือ ไม่โปร่งใส .. ซะแล้ว ยิ่งจะทำให้กระแสสังคม เกิด แรงสะท้อนกลับ อย่างรุนแรง จนการยึดอำนาจกลายเป็นทางออกสุดท้ายที่สังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับจนได้ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่า ดร.ทักษิณฯ จะทำความผิดจริง หรือไม่อย่างใด?

.....นี่แหละ คือ อุทธาหรณ์ แห่ง กระแสความไม่พอใจ ที่ทั้งประชาชน นักธุรกิจ นักการเมืองฝ่ายค้าน และทหาร ที่ได้เกิดขึ้นมากขึ้นทุกที จึงทำให้เกิดการล้มล้างอำนาจการปกครองแบบประชาธิปไตยเดิม แล้วแก้ไข กติกากันใหม่ เพื่อให้เกิดจากกระบวนการทางการเมืองที่เปิดโอกาส ให้มีการ “Check and Balance” ได้

......ตรงนี้ คืออุทธาหรณ์ เป็นพื้นฐานที่พวกเราประชาชน ซึ่งเป็นอำนาจที่สี่ทางการเมือง จำเป็นที่จะต้องช่วยกัน อย่าเห็นแก่พวกพ้อง อย่าเห็นแก่ อามิสสินจ้างเฉพาะตน เก่งอย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ควรคำนึงว่าจะเอา นักการเมืองคนไหน ที่มีอุดมการณ์ มีจริยธรรมทางการเมือง อยู่ในร่องในรอย ไม่กอบโกยโกงกิน ไม่สร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง ญาติโยม และ พวกพ้อง ไม่เป็นนักการเมืองโสเภณี ที่เปลี่ยนพรรคเพราะเงิน เพราะอยากเป็นพรรครัฐบาลอย่างเดียว ไม่เป็นพรรคการเมืองสำส่อนผสมพันธุ์กันไม่เลือกหน้า จะเอาพรรคไหนที่จะมาช่วยทำให้เป็นผู้กำหนดชะตาทางการเมืองของประเทศชาติอย่างจริงจัง

.....คำถาม ? ละครการเมืองที่กำลัง เริ่มขึ้น ณ ขณะนี้..มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อไปในอนาคต การเมือง บ้านเมืองเรา จะเป็นเช่นไรต่อไป ? และเรามีหนทางใดที่จะป้องกัน หรือแก้ไข มิให้วงจรอุบาทว์แห่งการยึดอำนาจมันเกิดขึ้นมาซ้ำซากขึ้นอีกได้อย่างไร?

...... ขอประชาชนทุกสาขาอาชีพ สื่อสารมวลชนทุกแขนง นักวิชาการทุกคน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติ และปัญญา จงมองย้อนวิถีทางการเมืองของเราในอดีต อย่าเพียงมองปัญหาจากด้านเดียว มุมเดียว สักแต่ว่า จะวิจารณ์การยึดอำนาจของทหารด้วยกำลังอาวุธ แต่มิได้ต่อการการยึดอำนาจในสภาด้วยเงิน ( อย่างเช่น กระแสการหักด้ามไม้เรียว โดยกล่าวหาว่า ครูโหดร้าย แต่ไม่ได้ดูว่าเด็กเกเร หรือไม่ จนเดี๋ยวนี้เด็กไม่กลัวครู )อย่าสักแต่ด่าการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ เพียงอย่างเดียว จงมาช่วยกัน ต่อต้านการยึดอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ และ การยึดอำนาจด้วยเงิน อย่าสักแต่ว่าจะเขียนอะไรตามกระแส ซึ่งเป็นคนละเรื่องเดียวกันมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกันมากยิ่งขึ้นไปอีกเลย

.....อย่าสักแต่บอกว่า จงปล่อยให้ วิถีทางการเมือง ทางสภา ในวิถีทางทางการเมือง เป็นการแก้ปัญหาและเป็นตัวตัดสิน ในขณะที่เกิดเผด็จการในสภา ในขณะที่มีข่าว ทุจริต คอรัปชั่นเชิงนโยบาย ในขณะที่ กลไกของรัฐทุกอย่าง สื่อฯ เริ่มถูกซื้อด้วยเงินและอำนาจ จนประชาชน ไม่มีเครื่องมือในการช่วยตรวจสอบได้เลย จนทำให้ การยึดอำนาจของทหารที่ชูป้าย ว่าเป็นการยึดอำนาจ เพื่อผดุงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุข...เป็นทางออกอีกเลย

ไม่มีความคิดเห็น: