วันอังคาร, กรกฎาคม 08, 2551

อวัยวะชิ้นที่ 33 ?

jenifaae



*ไม่ว่าจะในยุคมนุษย์ถ้ำ จนถึง ยุคโลกาภิวัฒน์ “การสื่อสาร” (Communication) เป็นสิ่งหนึ่งทีมีความสำคัญในชีวิตประจำวันมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่การใช้สัญญาณควันในการส่งข่าวสาร การเขียนข้อความใส่ขวดลอยตามน้ำเมื่อเรือแตกติดอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทร หรือการใช้นกพิราบช่วยการสื่อสารระหว่างกัน จนถึง ณ ขณะนี้ เราได้มีการสื่อสารผ่านดาวเทียมได้ไกลแสนไกล ทุกที่ ทุกเวลา ทั่วทุกมุมในโลกใบนี้ ที่สุดแสนไฮเทคในยุคนี้ ล้วนแล้วเป็น “การสื่อสาร” โดยทั้งสิ้น

ซึ่งเดี๋ยวนี้ การติดต่อสื่อสารระหว่างกัน กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว สำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบันของเรา ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนๆ หรือหันไปทางไหน เราจะเห็นคนกำลังคุยกันทางโทรศัพท์ ทั่วทุกหัวระแหง ทุกผู้ ทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเวลา ก็ว่าได้

และเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่โลกเราได้มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน จะว่าไปทำให้การติดต่อสื่อสารก็กลายเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายและรวดเร็ว และที่สำคัญ ราคาเครื่องถูกลงอย่างมาก หรือถ้าจะให้ถูกกว่านี้ ก็สามารถซื้อเครื่องมือสอง มือสาม หรือมือสี่ ก็ยังได้ เรื่องราคาเครื่องจึงไม่ใช่ข้อจำกัดการมีโทรศัพท์เสียแล้ว และที่สำคัญมากกว่าไปกว่านั้น อัตราค่าโทร.ก็ถูกลง แถม มี Promotion ลดแหลก แจก แถม อย่างถล่มทลายกันหลายเจ้า ต่างจากสมัยก่อน ที่รัฐบาลยังบริหารกิจการโทรศัพท์อย่างลิบลับ จะขอสายโทรศัพท์เข้าบ้านซักเบอร์หนึ่ง ขอกันสาม ปี สีปี หากอยากได้มากเข้า ก็ต้องลงทุน ซื้อเบอร์จาก คนอื่น ต้องจ่ายเงิน ประมาณ สาม หรือสี่หมื่นบาท บางบ้านขอไป ก็ไม่ได้ก็มี ต้องไปยืนหยอดตู้ ต่อคิวกันให้ยุงกัด

*ซึ่งก่อนที่จะถึงยุคโทรศัพท์ ก่อนหน้านี้ “เพจเจอร์” หรือ วิทยุติดตามตัว ได้เข้ามาทำให้พวกเราได้ฮือฮากันครั้งกระโน้น ด้วยการส่งข้อความหากันดัง “ปิ๊บ ปิ๊บ ปี๊ป” กันทั้งเมือง ไปทางไหน ก็ จะเห็น เพจเจอร์เหน็บเอวกันเป็นแถว แต่พอมาถึงยุคนี้ สมัยนี้ก็ต้อง เป็นโทรศัพท์มือถือนี่แหละ มาแรงแซงทางโค้ง ไม่ว่าจะอาชีพใด อายุใด เป็นต้องมีถือติดตัวให้โก้กันไปหมด ตั้งแต่ราคาแพงหูฉี่ จนมาถึงราคาไม่ถึงพัน ก็พอใช้ได้ ส่วนค่าบริการก็ยังมีให้เลือกหลายโปรโมชั่น ให้เหมาะกับนิสัยการใช้งาน ในบ้านเราก็มีแก่งแย่งแข่งขันกันอยู่ 3-4 ระบบ


เด็กตัวเล็กตัวน้อย พ่อแม่ยังต้องหาโทรศัพท์มือถือให้ติดตัวกัน อ้างว่า “ติดตัวไว้ใช้ อุ่นใจค่ะ” กันทั้งสิ้น ลูกเด็กเล็กแดงเกิดมา ก็ “ฮัลโหล” กันเป็นแล้ว กดเบอร์เองได้อีกด้วย

นึกถึงครั้งใดที่ลืมโทรศัพท์มือถือ แทบอยากจะตีรถกลับไปเอาซะจริงๆ ก็มันอึดอัดนะ เพื่อนฝูง การงานติดต่อเราไม่ได้ ไอ้ครั้นจะโทรไปหาเอง ก็จำเบอร์ไม่ได้แล้ว ก็จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเดี๋ยวนี้ เราฝากชีวิตความทรงจำไว้กับเจ้าโทรศัพท์ไปแล้ว เลยทำให้ต่อมความจำ การรับรู้ของเรา มันหดหายไปหมดสิ้น แม้กระทั่งวันเกิดเพื่อนสนิท ที่สมัยอดีต ไม่ต้องมีเสียงเตือน ก็จำได้ไม่มีลืม แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ใส่ความจำส่วนนี้ไว้ในโทรศัพท์ พร้อมทั้งให้เตือนในวันที่สำคัญ เราก็ลืมมันไปสนิท เอาเป็นว่า ถ้าโทรศัพท์หาย ขอซิมใหม่ เบอร์เดิม ยังแทบจะไร้ค่าเลย

ดังนั้น ณ บัดเดี๋ยวนี้ โทรศัพท์มือถือ ได้กลายมาเป้นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง ซะแล้ว หรือ ใคร ว่าไม่จริง...??

ไม่มีความคิดเห็น: