วันเสาร์, กันยายน 22, 2550

สนับสนุนเผด็จการสภา ? หรือจะสนับสนุนการยึดอำนาจเผด็จการสภา ?


Kalamasuetara


.......ขอออกตัวเสียก่อนว่า ผู้เขียน ไม่ใช่พวก นิยมลัทธิทหาร และก็ไม่ชอบการปฏิวัติรัฐประหารด้วย แต่เป็นคนที่เคยร่วมเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 หากแต่นิยมเดินแนวทางการปฏิรูปความคิดและปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงสังคม และเคยเป็นพวกที่ก้าวออกจาก เมืองเข้าสู่ชนบทอออกไปทำโครงการหมู่บ้านสหกรณ์ และแม้กระทั่งรับราชการ รักความเป็นธรรม รักความยุติธรรมมาตลอด ไม่นิยมชมชอบกับการใช้กำลังความรุนแรง เข้าบังคับขืนใจบุคคลอืน


....... กรณีการรัฐประหารผมขอบอกได้เลยว่า ผมไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหารหรือเผด็จการพลเรือน
ก็เพราะว่าผมเองก็เป็นเคยเป็นคนที่เคยร่วมอยู่ในการต่อต้านเผด็จการทหาร ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาแล้ว


...... กรณีการทำรัฐประหารยึดอำนาจของ พล.อ.สนธิฯ หรือ คมช. ในคราวนี้ ผมบอกได้เลย ว่า ความรู้สึกของผมมันต่างจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะอะไรผมถึงได้กล่าวออกมาเช่นนั้น

......ก็ต้อง ตั้งประเด็นคำถาม เพื่อวิเคราะห์ วิจัย ที่ละข้อ ดังนี้

... การรัฐประหารยึดอำนาจในคราวนี้เป้าหมายการรัฐประหาร..... ทำเพื่ออะไร ? ทำไมถึงต้องทำ ?

... มี สถานการณ์การความจำเป็น ที่เหมาะสม ที่เป็นปัญหา ในสังคมไทย ที่จำเป็นยึดอำนาจ หรือไม่เพียงใด?

...เงื่อนไข คำสัญญาว่า เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาที่คับคาใจประชาชน เป็นที่พอใจประชาชน เพียงใด ?

....คมช.โดย พล.อ.สนธิฯ ได้ทำตาม สัญญาที่เคยบอกไว้ หรือ ไม่ ?

...คมช.เข้ามาคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ริดรอน สิทธิและเสรีภาพของ สื่อ ของ ประชาชน แบบเผด็จการทหารในอดีต หรือเปล่า ?



......อย่าสักแต่ พูดแบบคนละเรื่องเดียวกัน มันจะสร้างความสับสน ให้กับสังคมไทยว่า ปัญหาที่แท้จริงก่อนที่รัฐบาล คุณทักษิณฯ จะถูกยึดอำนาจ คืออะไร ใครเป็นคนสร้างปัญหา ไม่ควรทำตัวเหมือนกบเลือกนาย อะไรก็ไม่เห็นด้วย อะไรก็ไม่ดีสักอย่าง แล้วจะให้ทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในตอนนั้น ซึ่งการยึดอำนาจในครั้งนี้ เป็นการยึดอำนาจ คุณทักษิณฯ ในช่วงที่ คุณทักษิณฯ กำลังมีอำนาจทางการเมือง จนล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะด้วยท่าที และคำพูดของคุณทักษิณฯ แข็งกร้าว ล้วนเป้นการยั่วยุความโกรธเคือง จนสามารถสร้างศัตรูไว้เป็นจำนวนมาก อย่างสถานะการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้ กรณี การพูดจาเสียดสี เย้ยหยัน อาจารย์ ธีระยุทธ บุญมี และนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลุ่มพันธมิตรต่อต้านทักษิณฯ และใครต่อใครอีกหลายคน


...... ที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น ผมมิได้รู้จัก คุ้นเคย และผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับ พฤติกรรมบางอย่างของบุคคลเหล่านั้นด้วย
แต่เนื่องจาก ในช่วงนั้น สถานการณ์บ้านเมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ คนไทยด้วยกันเองกำลัง ลุกขึ้นเผชิญหน้าเข้าห้ำหั่นกัน วิถีทางรัฐสภาไม่เปิดโอกาสให้ พรรคฝ่ายค้านสามารถอภิปรายในเรื่องต่างๆที่คาใจ และ ข้อกล่าวหาเรื่องการ ทุจริตซุกหุ้น การพยายามเข้าแทรกแซงสื่อ การส่งคนของตัวเองเข้าแทรกแซงเข้าไปในองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ การเอาสมัครพรรคพวก และญาติ พี่ น้อง เข้าไปมีอำนาจในกองทัพ แล้ววงการต่างๆ อย่างขนานใหญ่ การหลีกเลี่ยง การเสียภาษีเงินได้จากการขายหุ้น การหาผลประโยชน์ของลูกเมีย ญาติ พี่น้อง แลเรื่องอื่นๆ อีกมากมายโดยการออกกฏหมายเพื่อหลีกเลี่ยง จนอาจารย์ธีรยุทธฯและหลายคน เรียกว่าเป้นการทุจริตเชิงนโยบาย ที่สังคมไม่ได้รับคำตอบและคำเฉลย ตรงข้ามกลับ มีกระแสข่าว การใช้เงินซื้อ ผู้ที่เป็นกรรมการพิจารณา ในคดีต่างๆ เพื่อปกปิด เบี่ยงเบน ประเด็นของอดีตนายกทักษิณฯ มันจึงได้เพิ่มดีกรีของความกดดัน กับความเคียดแค้นชิงชัง ของหลายฝ่าย อย่างที่สุด และสุดท้าย ก็คือความขัดแย้งกับ พล.อ.สนธิฯ ในเรื่องการแต่งตั้งถอดถอนตำแหน่ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันก็เป็นแรงกดดัน จนถึงขั้นแตกหักถึงขั้นยึดอำนาจ ในครั้งนั้น



...... ดังนั้น ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ การยึดอำนาจของทหารในครั้งนี้ จึงมีความแตกต่างจาก การรัฐประหารยึดอำนาจ กับทุกครั้งที่ผ่านๆมา โดยสิ้นเชิง เพราะ
ประการที่ 1 ประชาชน ส่วนใหญ่ เริ่มไม่พอใจระบอบทักษิณฯ ที่เริ่ม มีการใช้อำนาจควบคุม และแทรกแซงสื่อฯ และแองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ
(เหมาว่าประชาชนทั้งประเทศ ไม่พอใจ ทักษิณฯ คิด เป็นร้อยละ 60 เหมือนกับที่ นักวิชาการบางคน เหมาว่า ผลการลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 64 : 46 แปลว่า ร้อยละ 46 ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหารของ คมชฺ แล้วกัน)
ประการที่ 2 เริ่ม เกิดความไม่โปร่งใส ในเรื่อง คดีซุกหุ้น และเรื่อง การทุจริต ซึ่งไม่ได้รับการ สะสางตามกระบวนการที่โปร่งใส มีเงื่อนงำมาตลอด
ประการที่ 3 เริ่มมีการแทรกแซง สื่อ ทั้งของรัฐ และของเอกชน
...... ประการที่ 4 คุณทักษิณฯ ได้ สร้างความแค้นเคือง เจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยวาจา ให้กับนักวิชาการหลายคน รวมทั้ง นายธีระยุทธ บุญมี ด้วย
...... ประการที่ 5 ท่าทีที่แข็งกร้าว ท้าทาย การดูแคลน กองกำลังก่อการร้าย และแนวร่วมภาคใต้ จนทำให้สถานการณ์รุนแรง จนถึงขั้น ฆ่าตัดคอ วางระเบิดใจกลางเมืองทุกวัน เพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐ ครู และประชาชนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อย่างบ้าคลั่ง กว้างขวางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


......ดังนั้น ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น การปฏิวัติรัฐประหารครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นที่สะใจของคนหลายคน หลายวงการอย่างช่วยไม่ได้ ผมเชื่อว่า บุคคลเหล่านั้น มีความสะใจ พอใจที่ คุณทักษิณฯ ถูกยึดอำนาจมากกว่า ความพอใจเรื่อง ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจเพราะคงไม่มีใครอยากให้เมืองไทยถูกรัฐประหารแน่นอนอยู่แล้ว

......ส่วนการปฏิวัติรัฐประหารในครั้งก่อน 14 ตุลาคม 16 เป็นเรื่องของการที่ใช้อำนาจทางทหาร เข้ายึดอำนาจ แล้ว เข้ามาปกครองประเทศ เป็นรัฐบาลคุมอำนาจ ล้มระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ทางรัฐสภาแม้กระทั่งเข้าควบคุมสื่อทั้งหมด ทุกอย่าง อย่างสิ้นเชิงเบ็ดเสร็จ

...... ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยใจเป็นกลาง ด้วยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายจริงๆ โดยยึดถือความเป็นไปของบ้านเมืองเป็นหลักจริงๆ ผมขอตั้งคำถาม ว่า
...... ถ้า พล.อ.สนธิฯ ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ ห้ามมีการชุมนุมทางการเมือง ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง โดยการใช้ อำนาจคณะปฎิวัติจับกุม คุมขัง ยกเลิกศาลยุติธรรม และใช้ศาลทหารสถานเดียว เหมือนครั้งก่อนๆนี้ ผมขอถามว่า อย่างสมาชิกแกนนำ คมช. ก็ดีนักวิชาการบางคน ก็ดี ที่ตอนนี้เริ่มออกมา พูด กันอย่างเก่งกล้าสามารถ จะมีใครกล้าออกมาพูดอย่างนี้ไหม? พูดแล้ว เหมือน ชวนตีหรือเปล่า ก็ในเมื่อ คมช.เอง เมื่อทำรัฐประหารยึดอำนาจเสร็จ ก็ ถอยออกมา อยู่เบื้องหลัง โดยให้ พล.อ.สุรยุทธฯ มาเป็น นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยแก้จุดเสีย และ เพิ่มเติมจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ ปี 40 ออกให้ ประชาชนพิจารณา ลงประชามติ รับร่าง ไม่รับร่าง จนผลออกมาได้ เปอร์เซ็น 64:46 เรียบร้อยไป แล้ว และกำลัง จัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้ว
ผมว่า ไหนๆ รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง ก็จะพ้นจากตำแห่ง หมดวาระ ในอีกไม่วันนี่แล้ว ผมว่า เลิกพูดเรื่องนี้ ซ้ำซาก เหมือคนไม่รู้เรื่องอะไรดีกว่า อย่าสักแต่ว่า มีปากกาคิดอะไรได้ก็จะเขียน โดยไม่คิดถึงผลกระทบทางสังคม
ที่กล่าวเช่นนี้ ผมมิได้หมายความว่า จะต่อต้านการรัฐประหารไม่ได้ จะวิจารณ์การัฐประหารไม่ได้ จะด่าการรัฐประหารไม่ได้ ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา นั่นไง ที่ถือว่าเป็นการ ต่อสู้ วิพากษ์ วิจารณ์ ต่อต้านเผด็จการแบบถูกต้องชอบธรรมที่สุด เพราะ เป็นการต่อสู้ในท่ามกลาง 3ทรราชย์ ที่กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นการรัฐประหาร ในช่วงเหตุการณ์ที่สังคมเริ่มมีความขัดแย้งสูง คนไทยเริ่มแบ่งเป็นสองขั้ว อย่างเห็นได้ชัดเจน ว่า ขั้วที่หนึ่งสนับสนุน คุณทักษิณฯ อีกขั้วหนึ่ง คือผู้ต่อต้าน คุณทักษิณฯ กำลังใช้กำลังเข้าเผชิญหน้ากัน อีกด้านหนึ่ง ความขัดแย้งในสภาที่ เกิดความขุ่นข้องหมองใจ การใช้อำนาจ ทางการเมือง ในฐานะผู้ที่กุมเสียงข้างมากในสภา รวมทั้งที่ มีกระแสการวิพากษ์ วิจารณ์ ว่า คุณทักษิณฯ ใช้เงินซื้อ บุคคลในวงการต่างๆ รวมทั้งการ ส่งคนของตัวเอง เข้าไปแทรกแซง ในองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่เปิดโอกาสให้ ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยสามารถใช้ วิถีทางรัฐสภา เปิดการอภิปรายได้อย่างนี้ ยอมรับไหมว่า เป็นการสร้างความกดดันทางการเมืองให้กับพรรคฝ่ายค้าน นักวิชาการและกับวงการต่างๆในสังคม จำนวนบุคคล จำนวนสถาบัน จำนวนองค์กร เริ่มลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ คุณทักษิณฯ ลาออก มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

.......จวบจน กระทั่ง พล.อ.สนธิฯ ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่ง เริ่มถูกกดดัน จาก คุณทักษิณฯ อีกคนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่า จะเป็นเหตุผล และเป็นปัญหาส่วนตัวก็ตาม แต่ถ้าประชาชน ณ ขณะนั้นไม่มีใครเห็นด้วยกับการยึดอำนาจรัฐจาก คุณทักษิณฯ แล้ว ผมขอถามหน่อยว่า อย่าว่าแต่พวก นปก. หรือพวก ที่กำลัง ต่อต้านการรัฐประหาร หรือต่อต้าน คมช.เลย ผมเอง และเชื่อ ว่า คนไทย อีกเป็นแสน เป็นล้าน ที่มีความคิดต่อต้านการรัฐประหาร จะต้องลุกขึ้นมา ต่อต้านร่วมด้วยแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ และขอตั้งคำถามหน่อยว่า หากว่า พวกที่กำลังต่อต้าน การรัฐประหารในครั้งนี้ คิดว่า มีเหตุผลและแน่จริง ทำไม ตอนที่ พล.อ.สนธิฯ ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ ใหม่ๆ ทำไมจึงไม่เห็นมีใคร กล้าพูด กล้าต่อต้าน การทำรัฐประหารยึดอำนาจในตอนนั้น เหมือนวันนี้เลย หรือจะเข้าตำรา ว่า ได้คืบก็จะเอาศอก

.......ที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้มีจิตใจอยากให้เมืองไทย มีการยึดอำนาจทำรัฐประหารโดยทหารเลย ด้วยความสัตย์จริง ผมเองเกลียดการรัฐประหาร การยึดอำนาจ ไม่ว่าจะโดยใช้กำลังทหาร หรือจะโดยการซื้อเสียงในสภาด้วยซ้ำไป ดังนั้น จึงขอให้ คนที่จะขึ้นมามีอำนาจ มี หิริ โอตัปปะ มีคุณธรรม มีจริยธรรม ใช้ท่าทีแบบอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจา ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ดูถูกผู้ที่ตนไม่เห็นด้วย ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และซื่อสัตย์สุจริตอย่างจริงใจ ไม่ใช่ ซื่อสัตย์แต่คำพูด แต่ทุจริตเชิงนโยบาย อย่างที่ผ่านมา เชื่อได้เลย ว่า หากใครคิดจะทำรัฐประหารยึดอำนาจอีก ผม และ เพื่อนๆร่วมชาติอีกเป็นล้าน ก็คงจะลุกขึ้นเข้าป่าจับปืน สู้กับระบบทรราชย์เหมือนกับเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ไม่ปล่อยให้ นปก.หรือ ใครบางคน ต้องเหน็ดเหนื่อย อดหลับอดนอน ตากฝนตากลม ตามท้องสนามหลวง หรือ ตามถนนหนทาง เพียงกลุ่มเดียว ล้านเปอร์เซ็นต์เต็มอย่างแน่นอน หรือ ถ้าจะบอกว่าที่ต่อต้าน ที่เรียกร้องทั้งหมดเพื่อจะเอาคุณทักษิณฯเสียอย่าง ผิดถูกไม่สน อย่างนี้ไม่ต้องอ้างประชาธิปไตย ไม่ต้องอ้างรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องอ้างเหตุผลอื่นๆเลย พูดอย่างเดียวจะเอาทักษิณฯ ก็พอ จะได้ไม่ต้องสาธยายให้ยืดยาว และหากว่า คุณทักษิณฯ ไม่ได้ กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก หากคุณทักษิณฯ หมดเนื้อหมดตัว ด้วยเหตุอันใดก็ดี ผมจะลองดู ซิว่า จะเหลือ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ยังอยู่เคียงข้างกับคุณทักษิณฯ สักกี่คน .

วันอาทิตย์, กันยายน 16, 2550

การเมืองเป็นเรื่อง ละครหลังข่าว(น้ำเน่า ..ตามเคย)


......ระยะนี้ กะพ๊ม เริ่มจะได้เห็น นักการเมืองที่รักของกะพ๊ม ได้มีโอกาส ออกแถลงข่าว วี๊ดว้ายกระตู้ฮู้ ยืดเส้น ยืดสายได้สำแดง น้ำจิตน้ำใจ สำแดง เลือดแห่งความรักชาติ รักแผ่นดิน รักประชาชน ตาแดงๆ อย่าง กะพ๊ม กัน ที่ละคนสองคน ผมหละ ดี จ๊ายดี จาย จนน้ำหู น้ำตาไหล พรากๆ ออกมาเป็นสายเลือดไห้ได้ นักการเมืองของเรา นี่แหละ สู้อุตส่าห์ เสียสละความสุขความสบายส่วนตัว ออกมารับใช้ชาติ รับใช้ ประชาชน เพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน อันเป็นที่รักยิ่งของกะพ๊ม บรรดาท่านๆเหล่านั้นสู้อุตส่าห์ ลืมความหลังความทรงจำความขมขื่นลืมที่เคยกัด.. เอ๊ยขัดกัน ทั่นสู้อุตส่าห์ หันหน้าเข้าหากัน มา สามัคคี จูบปาก เลียน้ำลายที่เคยถ่มรดกัน เห็นไหม ว่า ทั่นเหล่า นั้น มีความเสียสละ มี สปิริตและ มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างเลอเลิศประเสริฐศรี ขนาดไหน? (เสียง..ปรบมือ กราวววว.....มีผิวปาก ด้วย)


......นักการเมือง เมืองไทย ตั้งแต่กะพ๊ม เกิดมาเป็นตัวเป็นคน กะพ๊มเอง สาบานแทนให้ก็ได้ว่า ไม่เห็นมีนักการเมืองคนไหน ไม่รักชาติ ไม่รักประชาชน ไม่ยินยอมเสียสละความสุขส่วนตัว รับตำแหน่งทางการเมือง สักกะคน แต่กะผ้มก็ยัง มึนๆ งงๆ ว่าทำมัย พอทั่นเหล่านั้น ไม่ได้รับตำแหน่ง ในพรรคก๋ดี ไม่ได้ตำแหน่งทางการเมือง ก็ดี ทำไม ทั่น จึงต้องลาออกมาตั้ง พรรคใหม่ แล้วก็ประกาศเป็นพรรคทางเลือกใหม่ทุกทีเลย แต่ที่แน่ๆ ประชาชนอย่างกะพ๊ม ก็ ยังคงยากจนค่นแค้น ปากกัด ตีนยัน อยู่วันยังค่ำ รับราชการถ้าไม่มี เส้นไม่มีสาย ทำงานให้ตาย โหงตายห่า ก็คงไม่ได้ดิบได้ดี แต่ที่รู้ๆ เห็นๆ นักการเมือง ร่ำรวยกันทุกคน ญาติ พี่น้อง คนใกล้ชิด เห็นได้เป็นใหญ่เป็นโต กันเป็นทิวแถว ดูนามสกุลก็รู้ๆกันอยู่


..... นายกรัฐมนตรี ของ ญี่ปุ่น เฮียแก ชื่ออะไร เนี๊ยะ ผมจำไม่ค่อยด้าย ซือเบ๊ยๆ อะรัยเนี๊ยะ พอรัฐมนตรี ร่วมรัฐบาล มีข่าวว่า คอรัปชั่น เท่านั้น เฮีย ดัน เสือกลาออก ซะ หนิ ใจเสาะ เป็นบ้า เป็นหลัง e-ธ่อ ผมบอกแล้วว่า สู้นักการเมืองเมืองไทย ไม่ได้ สักกะผีก ขนาด แดก เอ้ย กิน เอ๊ย รวยล้นฟ้า ไม่รู้กี่ คดี ก็ยังเห็น หน้าด้าน เอ้ย โผล่หน้า ตะโกนปาวๆ อย่างไม่สะทกสะท้านผิวหน้า เรียกว่ายิ่งรักชาติ ยิ่งรักประชาชน ตาแดงๆ อย่างคนอีสาน คนเหนือ ยิ่งจนลงๆ เลย จริงๆ แบบนี้ จะไม่ให้กะผ๊ม ดีจ๊ายๆ ดีจาย ที่เห็นบรรดา ท่านเหล่านั้น สู้อุตส่าห์แย่งกันออกมาสำแดงความรักชาติ รักประชาชน รักแผ่นดิน ยอมเสียสละชีพเพื่อชาติ ทนความลำบากลำบนยื่นหน้ามาออกไมค์ ออกกล้อง เพื่อเห็นแก่ชาติ แก่บ้าน แก่เมืองจนตัวสั่น น้ำลายฟูมปาก กันเป็นทิวแถว กะพ๊มหละ ซาบซึ้งในน้ำใสจายจิงของท่านเหล่านั้น กะพ๊มหละ น้ำตาไหลพราก ๆ สงสาร การเมืองเมืองไทยจริงๆ ว่า เป็นเวรกรรมอะไรของบ้านเมืองเรา ทำไม การเมืองไทยถึง น้ำเน่าอย่างนี้ นักการเมืองของเรา แต่ละคนก็ออกจะ ดีดี มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ เสียสละ กันทางน๊านนนนนนน


....ท้ายที่ สุดที่กะพ๊ม ต้องอดหลั่งน้ำลาย เอ๊ย น้ำตาแห่งความปลื้ม แบบสุดๆ ไม่ได้ (โทษที กะพ๊ม หละ ชอบเพิดผิด อยู่เรื่อยๆ ขออภัยมณี ผมเมา อุดมการณ์ ของนักการเมือง ยุค ใหม่ ขออย่าถือสากกะเบือผม เลย )ใน ความเสียสละ อัน ยอดเยี่ยม แห่งศตวรรษ คือ การ ยินยอม บริจาค ชื่อพรรค อันเป็นที่รักยิ่ง ของท่าน ที่ทั่นนั้นรักยิ่งกว่าลูกบุญธรรม รักยิ่งกว่ากว่าเมียน้อย อีก น๊ะ จาบอกให้ ท่านสู้ยินยอม กัดลิ้นเสี่ยเติ๊ง จนเกือบขาด มาบริจาคพรรคของทั่น ให้ บรรดา สหายร่วมอุดมการณ์ ที่ จะต้องมาร่วมกัน กู้ ชาติ กู้แผ่นดิน คราวนี้ ( เสียง ปรบมือ เกรียววววววววววววว )..เพื่อให้ "ท้องฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ กูจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" (ละหวา ครานี้)(เสียง ปรบมือ กระทืบเท้า พร้อมกับเสียง ใครก็ ไม่รู้เสือก อ๊วกออกมา)

วันศุกร์, กันยายน 14, 2550

" โทษที อย่า ซี้ซั๊ว เหมา "


กรณี ที่การ ลงประชามติรับร่าง ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ ผลออกมาคือ
รับ : 14,249,520 คิดเป็น 56.7 %
ไม่รับ : 10,419,912 คิดเป็น 41.4 %
บัตรเสีย : 479,715 คิดเป็น 1.9 %

หลังจากนั้นก็ ได้มีการวิจารณ์ แสดงความคิดเห็นกัน ต่างๆ นานา จนเหมือนกับว่าคนพูดเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของ คนเป็นล้านๆ อย่างงั้นแหละ แต่ตอนที่ผลยังไม่ออก ไม่เห็นว่า จะเข้าไปสมอ้างรู้อะไรก่อนเลย ..เหตุ ก็คือ กลัว ผิด เสียหน้า พอตัวเลขออกมาเรียบร้อย ละที่นี้ ศาสดาจารย์ ทั้งหลาย ละพูดเหมือนตาเห็น เหมือน รู้ใจคนเป็นล้าน คิดอะไร กัน บ้าง เก่งเป็นบ้า
ซึ่ง ความจริง การวิจารณ์ วิจัย ผลการลงประชามติ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหรอก เพราะมันเป็น การประเมินทางสถิติ แต่ ที่ ผมขอท้วงติง ก็ ตรงที่ว่า การวิจารณ์ เป็นการด่วนสรุป ความคิดของคนลงประชามติ ในความคิดของนักวิจารณ์ ความคิดของคนลงประชามติ มีหลากหลายมากมาย เช่น ผมลงประชามติว่า รับร่าง ไม่ใช่หมายความว่าผมจะเห็นด้วยกับการรัฐประหาร ก็หาไม่ และก็ไม่ใช่ว่าผมจะเห็บชอบกับ รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็ไม่ใช่ แต่ เหตุผลของผมที่รับร่างฯ และเห็นด้วยกับการ รัฐประหารในช่วงนั้น ก็เพราะ อยากให้ทักษินถูกตรวจสอบบ้าง อยากให้ทักษิน ลดความอหังการ์ลงซักที แต่ทำไม่ได้สักอย่าง อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากช่วงปลายรัฐบาลทักษินฯ สถานการณ์เริ่มรุนแรง ทั้งในภาคใต้และในใจกลางกรุงเทพมหานคร อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะ ทักษิน ชอบ พูดจาท้าทาย ยั่วยุ ดูแคลนนักวิชาการ หนังสือพิมพ์ เข้าไปแทรกแซง วงการทางการเมืองการปกครอง สถาบันตุลาการ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญ มากมาย มีการสร้างอำนาจ ให้กับตนเอง คนไทยเริ่มขัดแย้งจนถึงขั้นใช้กำลัง เข้าเผชิญหน้ากัน ใช้อำนาจที่มีอยู่ แก้ไข เปลี่ยนแปลง กฏหมาย จนผมเอง นึกว่า อยากให้ สภาฯตรวจสอบและ อภิปรายกันในสภา แต่ก็ทำไม่ได้ สักครั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มีข้อจำกัด จึงอยากให้ ใครสักคน เข้ามายึดอำนาจ ให้ทักษินลงจากอำนาจ แล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไข การที่ผมคิดอย่างนี้ไม่ใช่หมายความว่า ทักษินไม่ดี ก็หาไม่ ผมนิยมชมชอบความฉลาด ผมนิยมชมชอบ ที่ทักษิน เก่งในเรื่อง การแก้ไข ปัญหาเศรษฐิจ และอื่นๆอีกมาก แต่ผมไม่ชอบคนหลงตัวเอง ผมไม่ชอบ การใช้อำนาจ การใช้อภิสิทธิเหนือ ผมต้องการให้ผู้บริหารบ้านเมือง มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความ อ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างคนไทย ไม่ใช่ สร้างความขัดแย้งในบ้านเมือง
นักวิจารณ์บางคน ที่ออกมาพูด หลายท่านวิจารณ์ ไปตาม ทัศนคติ และมุมมองของตนเอง แบบเหมารวมเป็นเข่ง ไปตามภูมิปัญญาของคนพูด โทษที ถ้าคนวิจารณ์คิดผิด มันทำให้ สังคม วุ่นวายได้เหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้น แล้ว หาก ไม่รู้จริงหรือคิดว่า จะทำให้คนสับสนไปตาม ภูมิปัญญาอันงี่เง่าของคนพูด อย่าเพิ่งด่วนวิจารณ์ไปเลยดีกว่า เพื่อเห็นแก่ ชาติ บ้านเมือง ที่ทุกวันนี้ กระแสความงี่เง่า ความดื้อรั้น มองปัญหาด้านเดียว สวนกระแสสังคม ของคนดันทุรัง ที่สามารถสร้างความนิยม คล้อยตาม มากมาย น่าหนักใจพออยู่แล้ว

วันจันทร์, สิงหาคม 27, 2550

สังคมวุ่นหากใช่.... เพราะคนโง่ ดอก??


ทุกวันนี้ ที่สังคมไทยเราวุ่นวาย ขัดแย้ง แทบจะรบราฆ่าฟันกันตาย ล้วนเกิดจากความฉลาดของคนในยุคนี้ ทังนั้น แต่ตรงข้าม ยามเมื่อคนไทย ยังด้อยการศึกษา ประชากรยัง เรียนไม่มาก หรือที่เราคิดว่าตัวเองยังไม่ฉลาด เราจะรู้รักสามัคคี กัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ต่างเคารพ เชื่อฟังกัน
ดูแต่สถานการณ์ปัจจุบันซิ ต่างคนต่างฉลาด ต่างคนต่างเก่ง ไม่มีใครคิดว่าตัวเอง โง่ ไม่มีใครคิดว่าตัวเองผิด สมัยก่อนพอ ผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโส บอกว่า อย่าทำ เด็กๆ ก็ จะกลัว ไม่กล้าทำกันแล้ว หากผู้ใหญ่ สอนอะไร เด็กๆก็จะ เชื่อฟัง สมัยนี้ ครูต้องกลัวเด็ก พ่อแม่ ต้องกลัวลูก ขนาด ว่า เด็กนักเรียนไม่พอใจครู นักเรียนเดี๋ยวนี้ ใช้ไม้หน้าสามตีครู จนตาย แม้กับพระ ก็ยังกล้าฆ่าพระกันแล้ว ไม่กลัว ตกนรก กับศาล ยังกล้าวิจารณ์ กล้าลองดี กับประธานองคมนตรีซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแต่งตั้ง ก็ ยังกล้าปลุกม็อบ ขับไล่แบบไม่เคารพเกรงใจเบื้องสูง เพียงเพราะอ้างว่า สนับสนุนการการรัฐประหารรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยไม่ต้องดูว่า เหตุและปัญหา หรืออะไรผิดอะไรถูก แล้วต่อไปนี้อะไรมันจะเหลือ

นักการเมืองกลัวเงิน นักการเมืองกลัวไม่ได้เป็นพรรครัฐบาล ความเชื่อ ความรัก ความศรัทธา ความซื่อสัตย์ จริงใจ ของผู้คน หมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือ เงิน อำนาจ ผลประโยชน์ ที่คนจะเชื่อฟัง ยอมกายถวายตน และที่เรียกว่าอุดมการณ์ หลักการ เหตุผล มันเพียง ข้ออ้าง ที่หยิบยกเอามาพูด มาอ้างกันตามทฤษฎี ตามตำรา ที่ร่ำเรียนกัน
แต่ว่ากันตามความเป็นจริง ความฉลาดจริงๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่ที่เป็นปัญหากับสังคม เป็นความฉลาด แกมโกง เป็นความฉลาดแบบเห็นแก่ตัว เป็นความฉลาดของมือปืนรับจ้าง เป็นความฉลาดของนักการเมือง ของเมืองไทย ตะหาก

ห่วงก็แต่ชาวบ้าน ที่ไม่รู้ ความจริง เมื่อได้ ฟังลีลาการพูดแบบน้ำไหลไฟดับ จริงมั่ง เท็จมั่ง เมื่อวานพูดอย่าง วันนี้ พูดอย่าง ชาวบ้านคิดไม่ทันฟังไม่ทัน ของลีลามืออาชีพ เท่านั้น ก็ คล้อยตามเลือดขึ้นหน้า ให้กูไปตายกูก็ตาย ว๊ะ
ใคร ก็ ได้ ที่ พล่ามว่า กู เป้นนักการเมืองที่แท้จริง มีอุดมการณ์ รักชาติ รักประชาชน กู ตั้งพรรค กูเข้าพรรคโน้นพรรคนี้ เพื่อ ชาติ เพื่อสังคม เพื่อประชาชนตาดำๆ ลอง ลุกขึ้นมาพูด ซิ ว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อเงิน ไม่ได้ทำเพื่ออำนาจ ลอง ดูซิว่า หาก ใครเอาเงินมาทุ่ม หรือ บอกว่าจะให้ ตำแหน่ง ให้เป็นรัฐมนตรี รัฐมนโท เป้นที่ปรึกษา มีเงินใช้จ่าย ดูซิว่า จะ ไม่เปลี่ยนพรรคเปลี่ยนหนัง หรือในทางตรงกันข้าม หากพรรคที่ตัวเองสังกัดไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือไม่ได้ร่วมรัฐบาล สักสมัย สองสมัย ดูซิว่า จะเหลือ สมาชิกพรรคสักกี่ตัว...เอ้ย จะเหลือสมาชิกสังกัดพรรคสักกี่ท่าน ไม่เชื่อ งวดนี้ พวกเรา ลองติดตามดูตอนต่อไป