วันอังคาร, เมษายน 08, 2551

บริบ่นรำพรรณ ๑

ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิความซื่อสัตย์ในวิชาชีพของข้าราชการและนักการเมืองไทยกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

* ความรักในศักดิ์ศรี ความซื่อสัตย์ ยึดมั่น ในหลักการ จุดยืนแห่งหน้าที่ความรับผิดชอบเท่านั้น ที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่รอดถึงแม้ตัวจะต้องตาย
แต่การกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และการแสวงอำนาจ ความร่ำรวย และความสุขแห่งตน อย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรีความซื่อสัตย์ ไม่ยึดมั่น ในหลักการ และจุดยืนแห่งหน้าที่ความรับผิดชอบ เท่านั้น ที่จะทำให้ประเทศชาติหายนะ แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ

ในความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มันเป็นตัวชี้วัดความซื่อสัตย์ในวิชาชีพ ความซื่อสัตย์ในหลักการ และจุดยืนของข้าราชการประจำ ความซื่อสัตย์ของ นักการเมือง ของพรรคการเมือง ลำพังการพูด จะพูดอย่างไรก็ได้ สารพัด แต่สำคัญที่ การกระทำ “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”

พัฒนาการทางการเมือง การปกครอง ของประเทศไทย ที่ผ่านมา นักการเมืองของเรามีอุดมการณ์แค่ไหน ข้าราชการของเรา มีคุณธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักการ ดำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ในวิชาชีพ ความซื่อสัตย์ในหลักการ และจุดยืนแค่ไหนเพียงไร

ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ อุดมการณ์ สัจจะ ประเทศชาติ แผ่นดินไทยเป็นของเราทุกคน ซึ่งยังคงดำรงอยู่ แต่ตัวเรา ต้องดับดิ้นลงตามอายุขัย พันท้ายนรสิงห์ยอมสละชีพ ให้บั่นคอตนเสีย เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิแห่งกฎมณเฑียรบาล

ความดำรงอยู่แห่งหลักการ ความยุติธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งแผ่นดินไทย ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ที่จะต้องปกปักษ์ รักษา ไว้ด้วยชีวิตของเรา ดั่งตำนานของพันท้ายนรสิงห์ ที่ได้กล่าวไว้

ผู้บริหารที่ไต่เต้ามาจากการเกาะแข้งเกาะขา ประจบสอพลอ วิ่งเต้นคอยบริการ ทำงานเอาใจนักการเมืองผู้มีอำนาจ แล้วได้ดิบได้ดี ถามว่าเขาจะกล้าสอนเรื่องความยุติธรรม คุณธรรมให้กับลูกน้อง ให้กับข้าราชการในบังคับบัญชาของตนเองสนิทปากได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ มันก็คงจรรโลงเผ่าพงศ์แบบนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แล้วถามว่า กระจิตกระใจของข้าราชการที่ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยอุดมการณ์ ประจบสอพลอไม่เป็น เกาะแข้งเกาะขาไม่เป็น เขาจะยังคงมีจิตใจเสียสละ รักษาอุดมคติเพื่อชาติบ้านเมืองได้อย่างไร

ผู้มีอำนาจ แล้วได้ดิบได้ดี ถามว่าเขาจะกล้าสอนเรื่องความยุติธรรม คุณธรรมให้กับลูกน้อง ให้กับข้าราชการในบังคับบัญชาของตนเองสนิทปากได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ มันก็คงจรรโลงเผ่าพงศ์แบบนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แล้วถามว่า กระจิตกระใจของข้าราชการที่ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยอุดมการณ์ ประจบสอพลอไม่เป็น เกาะแข้งเกาะขาไม่เป็น เขาจะยังคงมีจิตใจเสียสละ รักษาอุดมคติเพื่อชาติบ้านเมืองได้อย่างไร นักการเมืองผู้มีอำนาจ แล้วได้ดิบได้ดี ถามว่าเขาจะกล้าสอนเรื่องความยุติธรรม คุณธรรมให้กับลูกน้อง ให้กับข้าราชการในบังคับบัญชาของตนเองสนิทปากได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ มันก็คงจรรโลงเผ่าพงศ์แบบนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด

วันจันทร์, เมษายน 07, 2551

ลมหายใจ กับการใช้ชีวิต

*ข่าวของ “น้องน้ำ” The Star 4 ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เสียชีวิตในวัยอันน้อยนิด ยิ่งทราบว่าเธอมีความสามารถและเป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่ง ยิ่งรู้สึกเสียใจ และเสียดายแทนคนรอบข้างของเธอ และสังคมที่ต้องสูญเสียเธอ

เธอมีความฝัน มีความต้องการที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข อยากที่จะไขว่คว้าหาความฝัน อยากที่จะประสบความสำเร็จ ที่สำคัญ “เธออยากจะมีชีวิตอยู่” เพื่อตัวเอง และพ่อแม่ผู้มีพระคุณของเธอ ข่าวเศร้าข่าวนี้ ทำให้ย้อนมานึกถึงข่าวเศร้าอีกข่าว

*สาวสวยจบการศึกษาสูง ฐานะความเป็นอยู่ดี แต่จบชีวิตตัวเอง เพียงเพราะมีปัญหาหัวใจกับแฟนหนุ่ม ซึ่งก็ฐานะดีและเรียนร่วมรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน เธอมีอนาคตที่สวยงาม ถ้าเปรียบกับ “น้ำ” สาวคนแรก ที่ต้องตายเพราโรคมะเร็ง และครอบครัวก็ต้องปากกัด ตีนถีบไปวันๆ
ที่ฟังแล้ว ก็มานั่งนึกสงสัยว่า ทำไมเธอคิดแบบนั้น ??..

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตได้” วลีนี้ผุดขึ้นในใจทันที เออหนอ..คนหนึ่งก็อยากจะมีชีวิต อยากสร้างฝัน แต่โอกาสในชีวิตก็น้อยเหลือเกิน
ส่วนอีกคน มีโอกาสมากมาย แทบไม่ต้องไขว่คว้า แต่กลับอยากจบชีวิตตัวเอง เพียงเพราะเรื่องความรัก เธอลืมไปแล้วหรือว่า มีคนอีกมากมายรอบข้างของเธอ ที่รักเธอและต้องเสียใจที่เธอจากไป...

ไม่มีใครอยากเกิดมาจน หรือเจ็บป่วย แต่เราสามารถเลือกที่จะคิด เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะฝันได้ทุกคน ถ้าเราเหลียวมองคนรอบข้าง ในยามที่เราทุกข์ บางคนอาจจะสุขกว่าเรา..ก็จริงอยู่ แต่อีกหลายคนทุกข์กว่าเราก็เยอะแยะ

ชีวิตคนมันสั้นนัก เราควรจะรักตัวเอง และครอบครัวให้มากๆ อย่ามองปัญหาของตัวเองใหญ่เท่าโลก คนอื่นๆแบกโลกหนักกว่าเรา เอาเวลาที่มานั่งเศร้า มานั่งย้อนดูตัวเอง ว่าเรายังโชคดีกว่าคนอื่นอีกมากมาย ใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อครอบครัวหรือคนใกล้ชิดที่เขารักเราดีกว่า

ยังงัยซะ..ปัญหามันก็ต้องมีทางคลี่คลาย ไม่ว่าจะจบแบบสุข หรือเศร้า เราก็ยังมีลมหายใจ คำว่า “โอกาส” ไม่หมดไปหรอก ในเมื่อเรายังมี “ชีวิต”

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 24, 2551

โลกอินเตอร์เน็ท ทำให้เราห่างเหินคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่กลับใกล้ชิดสนิทสนมกับคนที่เราไม่รู้จัก ?

* ทุกวันนี้ การใช้คอมพิวเตอร์ และการเชื่อมต่อสู่โครงข่ายอินเตอร์เน็ทในการติดตาม ค้นหา ข้อมูลข่าวสาร บ้านเมือง ของโลก ใช้ในการทำงาน ใช้ในการศึกษาเล่าเรียน ใช้ในการรับ-ส่ง จดหมาย ใช้ในการสนทนาพูดคุย กับเพื่อนสนิท มิตรสหาย การทำงานกับคอมพิวเตอร์ โดยผ่านทางอินเตอร์น็ทความเร็วสูง ที่ปัจจุบันนี้มีให้เลือกมากมาย หลายโปรโมชั่น และหลากความเร็ว ณ ตอนนี้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     หรือแม้ยามที่เราอยู่ห่างไกล พ่อ แม่ เพื่อนฝูง ญาติมิตร ก็ทำให้เราเหมือนอยู่ใกล้กันแค่ฝ่ามือ แม้กระทั่ง ได้พูดคุย กับคนที่เราไม่รู้จัก ไม่เห็นหน้าเห็นตา ไม่รู้จัก เบื้องหน้าเบื้องหลัง อย่างสนิทสนม ใกล้ชิด จนกลายเป็นสิ่งปกติธรรมดา ใน ชีวิตประจำวันของคนเราเสียแล้ว โปรแกรมแชท (สนทนาออนไลน์) จึงจะขาดเสียไม่ได้ เวลาเปิดใช้งานอินเตอร์เน็ท ก็ถ้าเหงาๆ มันก็ดีกว่าโทรศัพท์ หรือจดหมายไม่ใช่หรือ? แถมคุยกันสะดวกเหมือนอยู่ใกล้ๆ หรือแม้กระทั่งอยู่ต่างประเทศไกลแสนไกล คุยกับคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ก็ได้มารู้จัก มันก็แปลกดีหนอ..คุยกันข้ามประเทศ ข้ามทวีป ทำเหมือนสนิทสนม กลมเกลียว ทั้งยังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

     ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ ก็กลายเป็นว่าเราลืมนึกถึงคนใกล้ตัว คนที่เราควรห่วง และคนที่เขาห่วงเราไปแล้ว เพราะภารกิจ เพราะความเร่งรีบ หรือเพราะเทคโนโลยีหลากหลาย ทำให้เรากลับไปสนใจคนอื่น คนไกล คนที่เราแทบไม่รู้จักเขาเลย ให้มามีอิทธิพลทางจิตใจมากกว่าคนใกล้ตัวที่รักเรา ห่วงใยเรา

     เทคโนโลยีมันทำให้เรา ไม่ล้าหลัง ก็จริงอยู่ แต่ก็อย่าให้มาพรากความห่วงใย ความใส่ใจ ที่เราจับต้องได้ไปจากเราเลย ตอนนี้ยังไม่สาย ถ้าเราจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเรา มากกว่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ คุยกับคนที่เราแทบไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ไม่รู้จักนิสัยใจคอ ไม่รู้กำพืดของเขาอย่างแท้จริง ดังนั้น เราควรจะหันมาใส่ใจความรู้สึกของคนใกล้ตัว เราให้มากกว่านี้...

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 22, 2551

เราจะทำอย่างไรกับ ..คนใจสัตว์

kammitta



ทาลิบันตั้งค่าหัวนักเขียนการ์ตูนหมิ่นศาสนา - ไอโอซีผลักดันประเด็นหมิ่นศาสนาในสิทธิมนุษยชน

ทาลิบันตั้งค่าหัวทองร้อยก.ก. เด็ดชีพนักเขียนการ์ตูนหมิ่น
Source - เว็บไซต์มติชน (Th)Friday, February 10, 2006 08:42


*หัวหน้าทาลิบันตั้งค่าหัวนักเขียนการ์ตูนล้อหมิ่นศาสนาเป็นทองคำน้ำหนัก 100 ก.ก. และเพิ่มให้อีก 5 ก.ก.แก่ผู้ที่สังหารทหารเดนมาร์ก นอร์เวย์ และเยอรมันได้ เผยมีมือพลีชีพนับร้อยเตรียมป่วนเพื่อตอบโต้สื่อตะวันตกที่ลบหลู่ศาสนาอิสลาม
สำนักข่าวอัฟกัน อิสลามิก เพรส (เอไอพี) ของปากีสถาน รายงานเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ว่า นายมุลเลาะห์ ดาดุลเลาะห์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังทาลิบันที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในอัฟกานิสถาน ประกาศตั้งรางวัลเป็นทองคำน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ให้แก่บุคคลที่สามารถฆ่านักเขียนการ์ตูนล้อหมิ่นศาสดาแห่งศาสนาอิสลามที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์เดนมาร์ก และจะมอบทองคำน้ำหนัก 5 กิโลกรัม ให้อีกแก่ผู้ที่สามารถสังหารทหารเดนมาร์ก นอร์เวย์ และเยอรมันได้ นอกจากนี้ นายดาดุลเลาะห์เผยอีกว่า มีนักรบมูจาฮีดีนกว่า 100 คน เตรียมที่จะก่อเหตุโจมตีพลีชีพแล้ว ทั้งนี้ คำประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเกิดกระแสความไม่พอใจในโลกมุสลิมต่อสื่อตะวันตกที่ตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อเลียนพระศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรง
ด้านหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พยายามหาทางดับไฟความขัดแย้งทางศาสนาในกรณีนี้ โดยมีรายงานว่า ในการเจรจาเพื่อจัดตั้งคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนชุดใหม่ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) นั้น องค์การการประชุมอิสลาม (โอไอซี) ได้พยายามผลักดันให้มีการบัญญัติประเด็นเกี่ยวกับการดูหมิ่นศาสนารวมอยู่ในหลักการของคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนชุดใหม่ของยูเอ็นด้วย
ขณะที่นายฟรังโก แฟรตตินี ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงและยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า อียูอาจร่างระเบียบกฎเกณฑ์ว่าด้วยสื่อมวลชนขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุการณ์รุนแรงซ้ำรอยกรณีการ์ตูนหมิ่นศาสนาครั้งนี้ขึ้นอีก โดยระเบียบกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวทางด้านศาสนามากยิ่งขึ้น
ข่าวแจ้งด้วยว่า ทางการมาเลเซียตัดสินใจที่จะยึดใบอนุญาตตีพิมพ์คืนจากซาราวัก ทรีบุน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของมาเลเซียแล้ว หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อศาสดามูฮัมหมัดของหนังสือพิมพ์เดนมาร์ก โดยรัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของนายอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลว่า การตีพิมพ์ภาพการ์ตูนหมิ่นศาสนาถือเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งรัฐบาลจะต้องดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเข้มงวด (เอเอฟพี/เอพี/รอยเตอร์)

ส่วนในข่าวของ น.ส.พ ข่าวสด เมื่อ วันที่ 5 ก.พ. 2549 บทความเรื่องการ์ตูนหมิ่นอิสลาม ปลุกกระแสประท้วงข้ามทวีป

กระแสความไม่พอใจของชาวมุสลิมที่มีต่อประเทศเดนมาร์กและชาติตะวันตกโหมกระพือไปทั่วโลกในสัปดาห์นี้
ต้นเหตุมาจากการ์ตูนของนักเขียนเดนมาร์กวาดรูปพระมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม ซึ่งมีรูปหนึ่งที่สวมหมวกโพกทรงคล้ายกับลูกระเบิดที่กำลังจุดชนวน อันเป็นภาพล้อเลียนที่หมิ่นชาวมุสลิมราวกับเป็นผู้ก่อการร้าย
ความโกรธแค้นผุดขึ้นในชาติมุสลิมทั่วโลก ไม่ว่าในตะวันออกกลาง เอเชีย แอฟริกา รวมถึงชุมชนชาวมุสลิมในยุโรป
การแสดงออกถึงความไม่พอใจมีทั้งการชุมนุมประท้วง รวมไปถึงการผนึกแนวร่วมเลิกซื้อสินค้าเดนมาร์ก
แต่สิ่งที่ผู้คนวิตกคือ เดนมาร์กอาจถูกกลุ่มหัวรุนแรงตอบโต้ด้วยการก่อการร้าย ขณะที่เดนมาร์กเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาอยู่แต่เดิมในสงครามอิรัก
ขณะเดียวกันกรณีดังกล่าวยังจุดประเด็นถกเถียงกันอย่างดุเดือดในวงการสื่อมวลชนชาติตะวันตก ระหว่างเสรีภาพในการแสดงความเห็นและข้อจำกัดในเสรีภาพนั้น

การ์ตูนดังกล่าวเริ่มขึ้นจากบรรณาธิการหนังสือพิมยีลแลนส์-โพสเตนของเดนมาร์ก มอบงานให้นักวาดการ์ตูน 40 คนเขียนภาพพระมูฮัมหมัด โดยมีวัตถุประสงค์ตรวจสอบปฏิกิริยาของสื่อมวลชนว่าจะยอมใช้วิธีเซ็นเซอร์ตนเองหรือไม่ ในกรณีที่เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับมุสลิม
เพราะเป็นที่ทราบกันว่า ชาวมุสลิมจะมีความรู้สึกว่าชาวตะวันตกส่วนใหญ่จะซ่อนเร้นความรู้สึกที่เป็นศัตรูหรือกลัวศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม
การ์ตูนตีพิมพ์ในวันที่ 30 กันยายน 2548 จำนวน 12 ภาพ และทำให้ทูตของชาติอิสลามยื่นจดหมายประท้วงนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
ต่อมาในวันที่ 10 มกราคม 2549 มีหนังสือพิมพ์ในนอร์เวย์นำการ์ตูนนี้มาตีพิมพ์อีกครั้ง ทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียและซีเรียเรียกทูตของตนเองกลับจากเดนมาร์กเพื่อแสดงการประท้วง
ในวันที่ 31 ม.ค. หนังสือพิมพ์ของเดนมาร์กออกแถลงการณ์ขอโทษ แต่ถัดมาในวันที่ 1 ก.พ. หนังสือพิมพ์ในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน นำการ์ตูนนี้ลงตีพิมพ์ จนทำให้เกิดกระแสประท้วงในกลุ่มชาวมุสลิมทั่วโลก

การประท้วงของชาวมุสลิมผุดขึ้นทั่วโลก ผู้ชุมนุมเผาธงชาติของเดนมาร์ก รวมไปถึงนอร์เวย์ ซึ่งมีสื่อมวลชนนำการ์ตูนไปตีพิมพ์
ที่อินโดนีเซีย ม็อบกว่าร้อยคนบุกเข้าไปในอาคารสถานทูตเดนมาร์ก ก่อนถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผลักดันออกมา
ชีค บาดร์ บิน เนเดอร์ อัล-มาชารี นักบวชสายเคร่งของซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า การที่หนังสือพิมพ์ของยุโรปชาติอื่นๆ นำการ์ตูนของเดนมาร์กที่เป็นปัญหามาตีพิมพ์เป็นการสื่อว่าต้องการเปิดศึกกับชาวมุสลิม
ขณะที่ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางต่างได้รับข้อความเอสเอ็มเอสที่ส่งมาถึงมือถือว่า "ถ้าเรายังคงต่อต้านสินค้าเดนมาร์กต่อไปจนถึงฤดูร้อนหน้า พวกเขาก็จะสูญเสียรายได้อย่างน้อย 36,000 ล้านยูโร"
ด้านนายแจ๊ก สตรอว์ รมว.ต่างประเทศอังกฤษ รีบปรามสื่อมวลชนในอังกฤษให้ระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างสูง โดยกล่าวว่า การตีพิมพ์การ์ตูนดังกล่าวไม่จำเป็นอย่างยิ่ง เป็นเรื่องล่อแหลม ไม่เคารพ และเป็นการกระทำที่ผิดพลาด
เช่นเดียวกับพระคาร์ดินัลอาชีล ซิลเวสตินี แห่งสำนักวาติกัน ที่กล่าวว่า เสรีภาพเป็นคุณธรรมยิ่งใหญ่ แต่จะต้องแบ่งปัน ไม่ใช้ด้านเดียว การเสียดสีที่ทำร้ายความรู้สึกผู้อื่นคือการดูหมิ่น
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด นายแอนเดอร์ส ฟอจ ราสมุสเซ่น นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เรียกประชุมทูต 76 ประเทศเพื่ออธิบายถึงข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น หลังจากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานายราสมุสเซ่นถูกโจมตีที่ไม่ยอมเจรจากับทูตของชาติมุสลิม 11 ประเทศที่กรุงโคเปนเฮเกน

ในวันพฤหัสบดีก่อนการประชุมทูต ผู้นำเดนมาร์กขอโทษต่อเรื่องหมิ่นชาวมุสลิมที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการตีพิมพ์ของสื่อมวลชน
และหลังจากการประชุมแล้ว ทูตอียิปต์ประจำเดนมาร์กเห็นว่า คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีเดนมาร์กยังไม่เพียงพอ
ด้านรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงท่าทีต่อต้านการตีพิมพ์การ์ตูนนี้ของสื่อมวลชนในยุโรปเช่นกัน โดยระบุว่าเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง



คุณรู้สึกอย่างไร กรณีข่าวที่ อิสลามิกชนทั่วโลก ลุกขึ้นมาประท้วง ก่อการจลาจล วุ่นวาย กันทั่วทุกมุมโลก แทบจะกลายเป็นสงครามกันทีเดียว
และกับกรณีข่าวเรื่อง พระพุทธรูปปางไสยาตร์ ที่วัดบางปลาหมอ จังหวัดพระนครศรีอยุทธยาถูกคนร้ายลอกเอาทองคำออกจากองค์พระไป


* หัวข้อข่าว : ลอกทองพระนอนวัดบางปลาหมอ จ.อยุธยาฯ ไม่คืบ ตำรวจเชื่อฝีมือคนในร่วมขบวนการ

คดีคนร้ายลอกทองพระนอนวัดบางปลาหมอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไม่มีความคืบหน้า ล่าสุดพบว่าประตูโบสถ์ที่มีการลงลักปิดทอง รวม 4 บาน ถูกกลุ่มคนร้ายใช้วิธีเดียวกันในการลอกทองที่ปิดบานประตูออกไป
วันนี้(16/2/51) เวลา 13.30 น. พระมหาประเสริฐ จันทวีโร เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ พาผู้สื่อข่าวไปดูที่ด้านหลังของพระอุโบสถ พบว่าที่ประตูพระอุโบสถทั้งสองประตูถูกคนร้ายขูดลอกทองประตูซึ่งทำเป็นลายรดน้ำออกไปเกือบทั้งบาน บานประตูกว้าง1.20 เมตร สูง2.50 เมตร เป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก เพราะประตูทั้งสี่บานเพิ่งลงรักปิดทองเสร็จไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท ส่วนพระนอนทางคณะกรรมการวัดจะร่วมกันพิจารณาหาทุนมาบูรณะโดยต้องค่อยๆทำไปเพราะต้องใช้ทุนทรัพย์สูง คดียังไม่มีผลคืบหน้า


และหากคนร้ายถูกจับได้ ภาพที่เราจะได้เห็นก็คือ คนร้ายก้มหน้า น้ำตานองหน้า แล้วก็ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ อย่างน่าสงสาร ว่า ผมขอโทษ ผมเสียใจที่ได้ทำไปแล้ว เพราะเหตผลความยากจน ผมมีภาระต้องเลี้ยงลูก เมียผมหนี หรือจะด้วยคึกคะนอง หรือหาเงินกินเหล้า
ท่านมีความคิด ความรู้สึกอย่างไร กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความคิดความรู้สึกของท่านเอง ปฎิกริยาของชาวพุทธทั่วไป ช่างมัน ธุระไม่ใช่ หรือ?

ความเป็นจริงของชีวิตและการใช้วิจารณญาณ

*สิทธิเสรีภาพ ในการนำเสนอ และ วิจารณญาณในการรับชม
เหตุเนื่องจากน้องชายมาเล่าให้ฟังว่าได้อ่านกระทู้นึงจากเวปดังของเมืองไทย เจ้าของกระทู้ตั้งเพื่อตำหนิทีวีสาธารณะช่องใหม่ของเมืองไทย เนื่องจากสถานีดังกล่าวได้นำสารคดีชีวิตสัตว์มานำเสนอ เรื่องวัฎจักรสัตว์โลก ภาพการล่าของสิงโตหลายตัว รุมกินโต๊ะช้างที่น่าสงสารตัวเดียว
เจ้าของกระทู้ตำหนิสถานี ที่ออกอากาศภาพโหดร้ายแบบนั้น ให้ลุกเค้าได้รู้ ได้เห็น สิ่งที่ตามมาไล่หลังก็คือ ความเห็นของผู้อ่านอย่างเราๆท่านๆ ที่ส่วนใหญ่จะเข้ามาขำ และต่อว่าเจ้าของกระทู้ ซึ่งตอนแรกนั้นก็ยอมรับว่าได้คิดแบบผู้อ่านหลายท่านเช่นกัน


ความรู้สึกแรกนั้นก็คือ ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ควรจะเป็นผู้สอนและแนะนำลูก ให้เข้าใจธรรมชาติที่เป็นจริง ในการดำรงชีวิตของสัตว์ฯ ซึ่งมันจะต้อง ดิ้นรน ต่อสู้เพื่อการยังชีพตามสัญชาตญาณของสัตว์ ตามกฎของชาร์ลส ดาร์วิน ที่ว่า ผู้ที่แข็งแรงเท่านั้น ถึงจะอยู่รอด มันเป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน แต่สำหรับมนุษย์ ต่างจากการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า ตรงที่ มนุษย์ มีสมอง มีความคิด กอร์ปด้วย คุณธรรม ศีลธรรม มีกฎหมาย ระเบียบของบ้านเมือง สังคม ควบคุมเพื่อให้มนุษย์ร่วมกันได้อย่างผาสุข เพื่อคนที่แข็งแรงกว่า จะได้ไม่เบียดเบียน ข่มเหงคนอ่อนแอ คนที่ฉลาดกว่า จะได้ไม่หลอกลวง คดโกง คนที่ฉลาดน้อยกว่า วิถีชีวิตของสัตว์โลก...เหล่านี้ เราคงจะไม่ได้เห็นภาพสิงโตรุมกินช้าง ตามถนนหนทางทั่วไปเป็นแน่

*แต่เราก็คง จะได้เห็น การ ตีชิง วิ่งราว การปล้น การฆ่ากัน การวางระเบิด การยิงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แถว สามจังหวัดภาคใต้ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ กันทุกวี่ทุกวัน
หรือจะเป็นภาพตบตีกัน จากละครหลังข่าว ก่อนข่าว การด่าทอ การเหน็บแนม หรืออาฆาตมากกว่าไม่ใช่หรือ? ที่อาจจะมีให้เห็นและสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน การมอมเมา ด้วยโฆษณาชวนเชื่อ หลอกให้ขาว หลอกให้สวย กันเกลื่อนกราดดาษดา หรือแม้กระทั่ง การจูงใจให้ใช้ของฟุ่มเฟือยที่ใกล้ตัวเหลือเกินในปัจจุบันนี้ เช่น โปรโมชั่นค่าโทรศัพท์มือถือ ที่เค้าว่าทู๊ก..ถูก..แสนถูก

เรื่องพวกนี้สิ ที่น่าจะต้องคอยชี้แนะ และตักเตือนมากกว่า เพราะมันถูกฝังหัวเราทุกวัน จนนึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไปซะงั้น

แต่พอมาคิดดูอีกที การที่เจ้าของกระทู้ออกมาตำหนิสถานี นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เค้ามีสิทธิ์ที่จะตำหนิ และท้วงติงสิ่งที่เขาคิดว่าน่ากลัว โหดร้าย สำหรับลูกหลานของเขา และก็หวังพึ่งสี่อสาธารณะให้เป็นตัวแทน ช่วยนำเรื่องราวที่เขาได้ตำหนิ ท้วงติง ผ่านไปให้สื่อนั้นได้รับรู้และแก้ไข

เพียงแต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะมาหวังว่า สื่อจะต้องถูกเซนเซอร์ ปิดตาย หรือไม่ต้องออกอากาศอะไร แค่ผู้ใหญ่บางท่านคิดว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มันไม่ใช่หรอก รายการหรือหนังหลายเรื่องที่ถูกเซนเซอร์ หรือไม่ให้ออกอากาศ ก็เพราะผู้ใหญ่บางท่านคิดว่า ไม่เหมาะ (ในความคิดของเค้า) แต่จริงๆแล้ว ผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือ..ที่จะต้องเป็นผู้สอน แนะนำคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี อะไรที่ควรประพฤติ ปฎิบัติตาม หรืออะไรที่ไม่ควร เราเป็นผู้บริโภค เรามีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์คิด แม้จะเป็นเด็ก เค้าก็มีความคิดที่จะเลือก คราวนี้แหละเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ ที่จะคอยอยู่ใกล้ๆเค้า คอยแนะนำ ให้ความรู้เค้า ไม่ใช่แค่ภาพน่ากลัว โหดร้ายเท่านั้นหรอกนะ สิ่งรอบตัวเราทุกวันนี้ มันน่ากลัวและโหดร้ายขึ้นทุกที ภัยจากความเป็นโลกาภิวัฒน์ มันค่อยๆคืบคลานเข้ามา และแฝงตัวใกล้เรา จนบางทีเราไม่รู้สึกตัว การโฆษณาชวนเชื่อขายสินค้าหลากหลาย ที่ในอดีตไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ การหล่อหลอมให้มองว่าหลายสิ่งถ้าไม่ใช้ จะเชย หรือ อยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าขาดไป ...สิ่งเหล่านี้ทั้งหลายนี่แหละ ที่เราต้องคอยระวัง เพราะมันค่อยๆซึมเข้าไป ไม่ใช่แค่เด็กหรอกที่ต้องคอยระวัง พวกเราผู้ใหญ่ เราๆท่านๆนี่แหละ ที่หลงไปกับมัน แบบไม่ทันรู้สึกตัว...ก็ได้กลายเป็นทาสของมันไปซะแล้ว

วันศุกร์, มกราคม 04, 2551

ณ บัดนี้ สัญญาณ ได้เริ่มแล้ว ??


ณ บัดนี้ สัญญาณ ได้เริ่มแล้ว ??

     สัญญาณ ของสิ่งที่หลายคน เคยกลัวว่ามันจะเกิด สิ่งที่หลายคนไม่อยากให้มันเกิด ที่เคยกล่าวขานถึง ว่ามันจะต้องเกิด กับ ชาติ บ้านเมือง กับประชาชน ตาดำๆ กำลังจะเริ่ม แล้ว เพราะอะไร หรือ?
ภายใต้ กาลเวลา ที่ผ่าน มันถูกสั่งสม ด้วยความ หยิ่ง ทนง ก้าวร้าว ดุดัน มันถูกสั่งสม จากความ ก้าวร้าว อหังการ์ ใน อัตตา
มันเป็นเหตุปัจจัยความประจวบเหมาะ ที่ส่งผลมาพอดีกัน ขวาหนึ่งสะดุดตกขอบ ขวาสองสะดุดตกเวทีหัวทิ่มหัวตำ เคล็ดขัดยอกเพราะสะดุดขาลูกตัวเอง ต้องพักฟื้น อีกกลุ่มซ้าย เมามันเพราะ ถูกบล๊อคเข้ามุมอับ ฝนตกพายุพัด เปียกปอนวิ่งฝ่าฝนโหมกระหนำ ซัดเข้าดวงตาจนพร่ามัว ซึ่งจ่าฝูงต้องระเห็ดซัดเซซัง หลบหลีกพายุบนเทือกเขาโงลังกั๋ง

แต่ด้วยปัญญาอันล้ำเลิศ ในการอ่านและวางหมากเบื้องหน้า หากยามที่พายุอ่อนและต้องจางหาย ในยามนี้ จะยังไม่อาจสำแดงตนได้อย่างเปิดเผยดังก่อนได้อย่างเดิม ในบรรดาฝูงแกะบางส่วนก็เอาใจห่างไปเข้าศัตรู พันธมิตรรักก็ห่างหายทั้งสิ้น ย่อมไม่มีผู้ใด จะมีเรี่ยวแรง ไม่มีเสบียงคลัง จึงไม่อาจหาญที่จะกล้าต่อกร กับพายุร้ายที่ยังแฝงฝัง กระจัดกระจายตามที่ต่างๆอย่างเงียบๆได้แน่นอน
อย่ากระนั้นเลย มันจะต้อง อัญเชิญพญาราชสีห์ขาแพลง พญางูหลังเดาะ ซ้ายสวิงขวา ขวาสวิงขวา พระยาราชสีห์ขาแพลงพึ่ง และพญางูหลังเดาะ ให้เข้ามาเป็นจ่าฝูงคุมฝูงแกะ ที่ไร้จ่าฝูง และตนก็เพียงวางแผนกลยุทธอยู่บนเทือกเขาโงลังกั๋ง ส่วนแกะที่แตกฝูง และ พันธมิตรที่เอาใจออกห่าง พวกนี้ เล่นไม่ยาก ยามใดใครชำนะ ยามนั้นมันก็มาสวามิภักดิ์ ยามใดใครพ่ายแพ้ มันก็หนีจาก มันเป็นเช่นนี้เอง เราก็จะสามารถต่อกร เอาชัยชำนะคืนได้และต้านพายุร้ายได้อย่างแน่นอน ดั่งน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เสบียงคลังดั่งเดิมก็ยังคงพอมีอยู่ ยามเฮือกสุดท้าย แรงฮึด ของพญาราชสีห์ขาแพลง พญางูหลังเดาะ กับฝูงแกะพลัดจ่าฝูงเข้ามุมอับเมื่อรวมกันได้เมื่อใด เรี่ยวแรงจะดั่ง งูร้ายฟาดหางเฮือกสุดท้าย ย่อมมีพิษสงร้ายกาจนัก ยิ่งเพิ่มพลังที่อาจหาญเข้าต่อกับ พายุร้ายได้เป็นแน่
ปวงประชาและเหล่าสีที่ต่างขั้วคือกลุ่มพลังแฝงทั้งเบื้องบน และล่าง ที่ยังคาใจอยู่ คงยังต้องนิ่งปล่อยวางเฝ้าดู ด้วยกฏกติกา ประชาธิปไตย กฏกติกาสังคม ที่ยอมได้ แต่หยามไม่ได้ มิได้ลดละอยู่ ดั่งพญามังกรร้ายที่ถูกภูเขาน้ำแข็งปกคลุม ไร้พิษสง รอเวลาความเร่าร้อนลุแก่อำนาจที่จะมาทำละลายน้ำแข็ง เท่านั้น
ด้วยการขอร้อง ตักเตือน และสถานการณ์บีบบังคับ จำต้องใช้ความระมัดระวัง แต่มันก็เป็นเพียง เหตุผลความจำเป็นต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า มันจะระงับได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม หรือ มันอาจจะเป็นความพยายาม อย่างยิ่งยวด ก็ตาม เราขอภาวนาอย่าให้มันเป็นอย่างที่มันเคยเป็น อย่าให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็นเลย

และหากสิ่งสั่งสมปะทุ ขึ้นเมื่อไร?มันจะเริ่มจากใคร? เริ่มที่ไหน? เริ่มอย่างไร? จาก ความมุทะลุ ดุดัน กร้าว แข็ง ไม่ยอมหักไม่ยอมงอ หากปล่อยให้เป็นดั่งน้ำเดือด ดั่งเคย หากปล่อยให้ หลง เหลิง ในอำนาจวาสนา บารมี อันห้อมล้อมด้วยลูกขุนพลอยพยัก คอยดัน คอยไส ด้วย มิจฉาฯ แล้ว ชาติบ้านเมือง ดังอยู่ในกำมือมัจจุราช

นี่ไม่ใช่คำสาปแช่ง ไม่ใช่คำภาวนา ไม่ใช่ สิ่งที่เรา ท่านต้องการ แต่ทุกอย่างมันเป็นเหตุ มันเป็นปัจจัย ซึ่งกันและกัน มันเป็นสูตรคณิตศาสตร์ทางพฤติกรรมของมนุษย์? มันเป็นแรงขับจากกระแส แห่ง "อวิชา ตัณหา อุปทาน" ที่สั่งสมกันมานาน จากตัวละครที่แต่ละตัวได้ถูก เรา “เลือกกันเข้ามา” ใครเลือกใคร เพราะอะไร ด้วยแรงจูงใจอย่างไร ด้วยเหตุผล จุดประสงค์ใด และหากเขาจะทำอะไร ทำอย่างไร แค่ไหน เพียงใด จงยอมรับเถิด ว่าในสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ต่อไปนี้ เราไม่สามารถควบคุมมันได้ต่อไปแล้ว
อย่าหลงเพียงลมปากที่ทำให้ลิงหลับ เราจะเป็นอย่างลิง หรือเราจะเป็นอย่างมนุษย์ผู้มีปัญญา มีวิจารณญาณ ก็เลือกเอา
แค่เริ่มต้นยก ผมก็ ปลงเสียแล้วซี..ท่านที่เคารพ ถามว่า ใครบ้าง ที่ จะยอมรับว่าตนเป็น เหตุปัจจัยหนึ่งของความที่มันจะเป็นไป ในบ้านเมือง

ตอนนี้ คงพูดอะไรมากไม่ได้ นอกจากนั่งเฝ้าดู ด้วยใจระทึก ได้แต่ภาวนาอย่างเดียวว่า
จะทำอะไร
จะพูดอะไร
จะทำอย่างไร ขอลด ละ ความอหังการ์ ความถือดี ยึดมั่นถือมั่นในตัวกู ของกู ให้นึกถึง ชาติ บ้านเมือง มากกว่า ตัวเอง มากกว่า ผลประโยชน์ และ อำนาจ พรรค พวกของตัวเอง และให้นึกเสมอว่า ทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนอยู่ภายใต้ กฏ แห่ง อนิจจัง แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า " มีเกิด มีการตั้งอยู่ และ ย่อมมีการดับไป" เป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง ไม่เว้น แม้ กระทั่ง"อำนาจ" ให้ นึกถึง รัฐบาล สิ่งที่ผ่านมา เป็นอุทธาหรณ์
หากเรา ติดตาม ศึกษา สถานการณ์ทางการเมือง พฤติกรรมบุคคล แล้วจะได้รับรู้ถึงสัญญาณที่เริ่มเกิดขึ้น...

เฮ ไหนเฮ ตาม โถ สื่อ ฯ นะ สื่อ(บางคน)




เฮ ไหนเฮ ตาม โถ สื่อ ฯ นะ สื่อ(บางคน)

..... สื่อมวลชน บางคน ชอบทำตัว
เสมือน เรือ เอียง ก็จะเฮ ไปฝั่งตรงข้าม
แต่พอเรือเอียงมาอีก ก็เฮ หนีอีก ไปอีกฝั่ง เรือก็ เอียงตาม
เฮกันไป เฮมา เรือก็เลย ล่ม จนจมน้ำตายกันหมด ทั้งลำ นั่นแหละ

ไม่ชอบเลย เรื่อง เฮไหน เฮตามกัน
พวกเราคงได้เห็นกันมาบ้าง และก็ เริ่มได้เห็นกันอีกในงวดนี้
ยามที่ กระแส ต่อต้าน ทักษิณฯ มาแรง ก็ เชลียร์ คมช.
แต่พอกระแส ทักษิณฯ กลับมาแรง ก็เริ่ม ที่ จะ ทำตัว ต่อต้าน คมช..

ผมหละ งง บ้านนี้ เมืองนี้
หาจุดยืน จุดพิง อะไร ที่เป็น แก่นสาร ความถูก ความผิด อะไรกันไม่ได้ เลย หรือ
ผมไม่ต้องการ ให้ เฮ ข้างไหน หรอก
ที่เขาทำดี อยู่ ก็ต้องชม ว่าเขา ดี ไม่ใช่ ด่า ตี เอาอย่างเดียว
อ้ายที่เขาทำอะไร ไว้ ที่ไม่ดี เราก็ต้องติ ไม่ใช่ ด่า
ถึงเขาจะ ล้ม เราก็ต้องไม่ข้าม
แหละหาก เขา ลุกขึ้นยืน เราก็ ไม่ต้อง ไป เชียร์ เขา จนออกนอกหน้า
ประเทศเรา มันจะล่มจม ก็เพราะ กระแสแบบนี้
มันทำให้ คนล้ม ถูกเหยียบซ้ำ
และ มันทำให้ คน มีอำนาจวาสนา มัน ผงาด จนเหลิง หลง มัวเมา อยู่ในอำนาจ
และ เขาก็เดินผิดทาง จนก้าวพลาด และ เราก็ไปเหยียบซ้ำอีกกระนั้น หรือ ?
เพื่อ ชาติบ้านเมือง เพื่อ ปวงประชาชา เพื่อ ความสงบ ร่มเย็น อย่างยั่งยืน
ขอ สหายจง ตรอง เอาเถิด